เมื่อ "คาวบอย" สองคนตกหลุมรักกันเอง
เพลง "cowboy like me" คือบทเพลงลำดับที่ 11 จากอัลบั้ม evermore ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายคันทรี่บลูส์ ชวนให้นึกถึงยุคแรก ๆ ของเทย์เลอร์ในแนชวิลล์ เพลงนี้บอกเล่าเรื่องราวของ "คาวบอย" สองคน หรือก็คือ สองนักต้มตุ๋น ที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะแห่งการหลอกลวงและบงการเป็นอย่างดี พวกเขามีความเข้าใจในกลอุบายของกันและกัน และใช้ชีวิตแบบคนนอกกฎหมายที่ไม่มีใครผูกมัด
เทย์เลอร์ได้กล่าวถึงเพลงนี้ว่าเป็นเรื่องราวของ "ศิลปินนักต้มตุ๋นหนุ่มสาวสองคนที่ตกหลุมรักกันในขณะที่ไปเที่ยวรีสอร์ตหรู ๆ เพื่อหาจับคนรวย" โดยเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นร่วมกับ แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) ผู้เป็นโพรดิวเซอร์ ที่ได้สร้างสรรค์ดนตรีที่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตลอดเพลง และได้ Marcus Mumford นักร้องนำจากวง Mumford & Sons มาร่วมร้องแบ็กกิ้งโวคอลที่ไพเราะให้กับเพลงนี้ด้วย
ในขณะที่เรื่องราวดำเนินไป เนื้อเพลงจะเผยให้เห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ที่ในตอนแรกต่างแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุและ "ชีวิตที่ดี" มากกว่าความรัก แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขามีอดีตที่ชอบไปวุ่นวายและเอาเปรียบผู้อื่นคล้าย ๆ กัน อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนในความตั้งใจของกันและกัน ซึ่งก็ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ค้างคาอยู่ในใจ
เนื้อเพลงยังเจาะลึกถึงผลที่ตามมาจากการกระทำในอดีตของพวกเขา ด้วยความลับและการปิดบัง ท่อน "forever is the sweetest con" (ตลอดไปคือการหลอกลวงที่หอมหวานที่สุด) สื่อถึงแนวคิดที่ว่าความรักของพวกเขาไม่ว่าจะเกิดขึ้นชั่วขณะหรือเป็นเพียงภาพลวงตาก็ตาม คือการที่พวกเขาได้หยุดความคิดที่จะไปหลอกใครต่ออีก แม้ว่าในตอนแรกจะไม่เต็มใจที่จะรัก (อีกครั้ง) แต่การกล่าวซ้ำ ๆ ของท่อน "I'm never gonna love again" (ฉันจะไม่มีวันรักใครอีกแล้ว) ในตอนท้ายของเพลงดูเหมือนจะแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและความสงสัยเกี่ยวกับอนาคตไปพร้อม ๆ กัน
แกะเนื้อเพลง "cowboy like me": เมื่อนักหลอกลวงมาเจอกัน
เพลง "cowboy like me" สร้างภาพบรรยากาศของโลกที่ตัวละครเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างชัดเจน:
"The tennis court was covered up / With some tent-like thing": ฉากเปิดเพลงที่ตัวละครอยู่ในงานหรูหรา บ่งบอกว่าเธอไม่ใช่คนคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้ และอาจกำลัง "หาเหยื่อหลอก" ในสถานที่นี้
"And you asked me to dance / But I said, 'Dancin’ is a dangerous game'": เขาชวนเธอเต้นรำ แต่เธอเตือนว่าการเต้นรำ (ความรัก) เป็น "เกมที่อันตราย" โดยเฉพาะกับเธอ
"Oh, I thought, 'This is gonna be one of those things' / Now I know, I’m never gonna love again": เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับเขาอย่างประหลาด และคิดว่านี่จะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่นำมาซึ่งความปวดใจ และเมื่อได้พบเขา เธอก็รู้ว่า "ฉันจะไม่มีวันรักใครอีกแล้ว" เพราะเธอพบคนของเธอแล้ว และไม่สามารถเสแสร้งรักใครได้อีกต่อไป
"Never wanted love / Just a fancy car / Now I’m waiting by the phone / Like I’m sitting in an airport bar": เธอสารภาพว่าไม่เคยต้องการความรัก ต้องการเพียง "รถหรู" แต่ตอนนี้เธอกลับต้อง "เฝ้ารอโทรศัพท์" เหมือนนั่งอยู่คนเดียวใน "บาร์สนามบิน" เธอหมดแรงจูงใจที่จะหลอกลวงใครอีกต่อไปแล้ว
"You had some tricks up your sleeve / Takes one to know one / You’re a cowboy like me": เธอรู้ว่าเขามี "กลอุบาย" เพราะเธอเองก็เป็นเช่นนั้น ทั้งคู่ต่างเป็น "คาวบอย" ที่ไม่เคยอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ตามกฎเกณฑ์ของสังคม
"Perched in the dark / Tellin’ all the rich folks anything they wanna hear / Like it could be love": เธอเฝ้ารอคอยเหมือนสัตว์นักล่าในความมืด คอยบอกสิ่งที่ "คนรวย" อยากได้ยิน เหมือนว่านั่นคือความรัก
"I could be the way forward / Only if they pay for it": เธอเสนอ "หนทางข้างหน้า" แต่ต้องแลกด้วยเงิน
"You’re a bandit like me / Eyes full of stars": เขาก็เป็น "โจร" เหมือนเธอ มี "ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาว" ที่ดึงดูดเหยื่อให้หลงใหล
"Hustling for the good life / Never thought I’d meet you here": พวกเขาทั้งคู่ต่างดิ้นรนเพื่อ "ชีวิตที่ดี" แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาพบกันในที่แห่งนี้ และเปลี่ยนทุกอย่างไป
"And the skeletons in both our closets / Plotted hard to fuck this up": "โครงกระดูกในตู้เสื้อผ้า" ของทั้งคู่ (อดีตอันฉาวโฉ่) พยายามอย่างหนักที่จะทำลายความสัมพันธ์นี้ เพราะพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงมาก่อน
"And the old men that I’ve swindled / Really did believe I was the one": เธอสามารถหลอกให้ใครก็ได้เชื่อว่าเธอคือ "คนพิเศษ"
"And the ladies lunchin’ have their stories about / When you passed through town": ฝ่ายชายเองก็สามารถหลอกให้ผู้หญิงตกหลุมรักได้เช่นกัน
"Oh, but that was all before I locked it down": แต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะ "ผูกมัดกัน" และเลิกวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ
"Now you hang from my lips / Like the Gardens of Babylon": "เขาติดอยู่บนริมฝีปากของเธอ" (อาจหมายถึงการจูบ หรือการที่ชื่อของเขากำลังจะหลุดจากปากเธอ) เหมือนกับ "สวนลอยบาบิโลน" สถานที่ในตำนานที่อาจไม่มีอยู่จริง สื่อถึงความรักที่งดงามแต่ดูไม่จริง
"With your boots beneath my bed": "รองเท้าบูทของเขาอยู่ใต้เตียงของเธอ" สื่อว่าเขาได้ยอมแพ้และอยู่กับเธอแล้ว
"Forever is the sweetest con": "ตลอดไปคือการหลอกลวงที่หอมหวานที่สุด" หมายความว่า "ตลอดไป" อาจไม่มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงการหลอกลวงที่สวยงาม
"I’m never gonna love again": ประโยคที่ซ้ำหลายครั้งในช่วงท้าย สามารถตีความได้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันรักใครอีกแล้ว หรือไม่สามารถแสร้งรักใครได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว แม้ว่ามันอาจจะทำลายชีวิตเดิม ๆ ของพวกเขาก็ตาม
บทสรุปจาก "cowboy like me": ความรักที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
เพลง "cowboy like me" คือบทเพลงที่น่าสนใจที่บอกเล่าเรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ระหว่างคนสองคนที่มีอดีตคล้ายคลึงกัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้สร้างสรรค์ตัวละครที่ลึกลับและมีเสน่ห์ ซึ่งสะท้อนถึงการค้นพบความรักที่แท้จริง ที่ทำให้วิถีชีวิตเดิม ๆ ต้องเปลี่ยนไป
เพลงนี้ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งความรักก็สามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่เมื่อได้ลิ้มรสความรักที่แท้จริงแล้ว ก็ยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป พวกเขาอาจเป็นนักต้มตุ๋นที่หลอกลวงผู้อื่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อมาพบกันเอง พวกเขากลับถูก "หลอกลวง" ด้วยความรักที่แท้จริง ซึ่งเป็น "การหลอกลวงที่หอมหวานที่สุด" เท่าที่เคยมีมา