เถาวัลย์แห่งรักต้องห้าม กับใจที่ถูกพันธนาการ
เพลง "ivy" คือบทเพลงลำดับที่ 10 จากอัลบั้ม evermore ที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้ร่วมเขียนกับ แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) และ แจ็ค แอนโทนอฟฟ์ (Jack Antonoff) เพลงนี้บอกเล่าเรื่องราวของ "ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่กลับไปหลงรักชายอีกคนหนึ่งจนหมดใจ" นำไปสู่ความสัมพันธ์ต้องห้ามที่เธอเปรียบเปรยกับ "เถาวัลย์" ที่ชอนไชเข้ามาหัวใจของเธออย่างช้า ๆ แต่รุนแรง
ในเพลงนี้ เทย์เลอร์ได้นำเสนอการนอกใจในมุมมองที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น จากเดิมที่เธอเคยเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องการนอกใจในแง่ของการถูกเปิดโปงและความไม่ถูกต้อง (เช่น "august" และ "illicit affairs" จากอัลบั้ม folklore) แต่ใน "ivy" เธอได้มองเห็นว่าแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรม แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกของ "ความรัก" อยู่จริง อย่างไรก็ตาม เธอยังคงตระหนักว่าการนอกใจนั้นไม่ใช่เรื่องที่สมควรอยู่ดี
เทย์เลอร์ได้กล่าวถึงเพลง "ivy" ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "บทกวีนิพนธ์เรื่องชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขตลอดไป" ที่ครอบคลุมเรื่องของการนอกใจ การทนอยู่ร่วมกันอย่างไม่เต็มใจ และแม้กระทั่งการฆาตกรรม ซึ่งรวมถึงเพลง "tolerate it" และ "no body, no crime" ด้วย ทำให้ "ivy" เป็นหนึ่งในสามเพลงที่บอกเล่าด้านมืดของความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง
แรงบันดาลใจจากกวีแห่งอดีต:
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเทย์เลอร์อาจได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เพลงนี้จากชีวิตและผลงานของ Emily Dickinson กวีชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีข่าวลือว่ามีความสัมพันธ์โรแมนติกกับ Susan Gilbert น้องสะใภ้ของเธอเอง สอดคล้องกับพล็อตเรื่องของ "ivy" และยังมีเบาะแสอื่น ๆ ที่ชวนให้นึกถึง Dickinson เช่น การที่อัลบั้ม evermore ปล่อยออกมาในวันเกิดของ Emily Dickinson (10 ธันวาคม) และการที่เทย์เลอร์ใช้สไตล์การเขียนแบบ "quill pen" ที่ดูย้อนยุคคล้ายบทกวี
แกะเนื้อเพลง "ivy": ความรุนแรงของความรักที่ฝังลึก
เพลง "ivy" ใช้ภาษาที่สละสลวยและเปรียบเปรยได้อย่างลึกซึ้ง โดยมี "เถาวัลย์" เป็นแก่นหลักในการดำเนินเรื่องราว:
"How’s one to know? / I’d meet you where the spirit meets the bones / In a faith-forgotten land": เธอตั้งคำถามว่าเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้ เธอพบกับคนรักในสถานที่ลึกซึ้ง (จิตวิญญาณพบกับกระดูก) ในดินแดนที่ "ศรัทธาถูกลืมเลือน" ซึ่งสื่อถึงการนอกใจ
"In from the snow / Your touch brought forth an incandescent glow": ในความหนาวเย็นหรือความสัมพันธ์ที่จืดชืด "สัมผัสของเขา" นำมาซึ่ง "แสงเรืองรอง" ที่สว่างไสว ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
"My pain fits in the palm of your freezing hand / Taking mine but it’s been promised to another": ความเจ็บปวดของเธอถูกโอบอุ้มไว้ในมือของเขา แม้ว่ามือของเธอ "ถูกสัญญาไว้กับอีกคนหนึ่ง" (สามี) แล้วก็ตาม
"Oh, I can’t stop you putting roots in my dreamland / My house of stone, your ivy grows / And now I’m covered in you": เธอไม่อาจหยุดยั้ง "เถาวัลย์" (ความรักของเขา) ไม่ให้หยั่งรากลึกใน "ดินแดนแห่งความฝัน" (จิตใจ) ของเธอได้ "บ้านหิน" ที่เคยแข็งแกร่งของเธอบัดนี้ถูก "ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ของเขา" ซึ่งแสดงถึงการที่ความรักครั้งใหม่ได้เข้าครอบงำชีวิตเธออย่างสมบูรณ์ เถาวัลย์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความยึดมั่นและความรักอันเป็นนิรันดร์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายล้างได้เช่นกัน
"I wish to know / The fatal flaw that makes you long to be / Magnificently cursed": เธออยากรู้ว่า "ข้อบกพร่องร้ายแรง" อะไรที่ทำให้คนรักของเธอดึงดูดใจจนเธอต้องตกอยู่ในสถานะ "ถูกสาปอย่างงดงาม"
"He’s in the room / Your opal eyes are all I wish to see": แม้ "สามีจะอยู่ในห้อง" แต่สิ่งที่เธอต้องการเห็นมีเพียง "ดวงตาโอปอล์" ของเขาเท่านั้น
"Clover blooms in the fields / Spring breaks loose, the time is near": การที่ "ดอกโคลเวอร์ผลิบาน" และ "ฤดูใบไม้ผลิผลิบาน" สื่อถึงการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น และ "เวลาใกล้เข้ามาแล้ว" ซึ่งอาจหมายถึงการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือการถูกจับได้
"What would he do if he found us out? / Crescent moon, coast is clear": เธอครุ่นคิดถึงผลที่จะตามมาหาก "สามีจับได้" จันทร์เสี้ยวอาจเป็นสัญญาณของเวลาที่เหมาะสมสำหรับการแอบพบกัน แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของเคียวหรืออาวุธที่นำมาซึ่งหายนะ
"Spring breaks loose, but so does fear / He’s gonna burn this house to the ground": ฤดูใบไม้ผลิที่เบ่งบานนำมาซึ่ง "ความกลัว" ด้วยเช่นกัน หากความลับถูกเปิดเผย "เขาจะเผาบ้านหลังนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง"
"How’s one to know? / I’d live and die for moments that we stole / On begged and borrowed time": เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะต้อง "มีชีวิตและตายเพื่อช่วงเวลาที่เราขโมยมา" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ "ได้มาด้วยการอ้อนวอนและยืมมา" (เวลาที่เหลือน้อยลง)
"So tell me to run / Or dare to sit and watch what we’ll become / And drink my husband’s wine": เธอขอให้คนรักบอกให้เธอ "วิ่งหนีไป" หรือ "กล้าที่จะนั่งดูว่าเราจะเป็นอย่างไร" และต้องทน "ดื่มไวน์ของสามี" (อยู่ภายใต้กฎของสามี หรือเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย)
"It’s a goddamn blaze in the dark / And you started it": ความสัมพันธ์นี้เป็นเหมือน "ไฟที่ลุกโชนในความมืด" ที่ "คุณเป็นคนเริ่มต้นมัน" เธอกล่าวโทษคนรักว่าเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย แต่ก็เป็นสิ่งที่จุดประกายชีวิตเธอ
บทสรุปจาก "ivy": ความรักที่กัดกินและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
เพลง "ivy" เป็นบทเพลงที่งดงามแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนของความปรารถนา ความกลัว และความรู้สึกผิด เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้สร้างสรรค์บทเพลงที่มีการเปรียบเปรยที่ลึกซึ้ง โดยใช้ "เถาวัลย์" เป็นสัญลักษณ์หลักที่บอกเล่าถึงความรักต้องห้ามที่ค่อย ๆ เข้าครอบงำจิตใจและชีวิตของตัวละคร
เถาวัลย์ที่ดูเหมือนจะสวยงามและให้ความรู้สึกยั่งยืน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำลายล้างได้เมื่อมันพันธนาการทุกสิ่งรอบตัวอย่างสมบูรณ์ เพลงนี้ทิ้งท้ายให้ผู้ฟังต้องตีความเองว่าท้ายที่สุดแล้วชะตากรรมของตัวละครจะเป็นอย่างไร: ความรักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมหรือไม่? หรือเธอจะพบทางออกที่แท้จริง?
"ivy" คือหนึ่งในบทเพลงที่สะท้อนถึงความสามารถในการประพันธ์เพลงของเทย์เลอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ฟังได้ดำดิ่งลงไปในความรู้สึกที่ขัดแย้งของความรักและความเจ็บปวดในความสัมพันธ์ที่ยากจะแก้ไข