ถ้าย้อนเวลาได้... วันนี้จะเปลี่ยนไปไหมนะ? บทเพลงจากใจคนที่ยังคิดถึงอดีตแบบ bittersweet
เปิดอัลบั้ม folklore มาด้วยเพลง "the 1" เพลงนี้ไม่ได้มาแบบตูมตาม แต่เหมือนการชวนเรานั่งลงข้าง ๆ แล้วเล่าเรื่องราวความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจให้ฟัง เทย์เลอร์พาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้ว แต่ไม่ได้จบแบบโกรธเกลียดอะไรกันนะ ออกแนวคิดถึง และอดสงสัยไม่ได้ว่า "If one thing had been different, would everything be different today?" คือถ้าตอนนั้นมีอะไรเปลี่ยนไปแค่นิดเดียว วันนี้ชีวิตเราจะเป็นยังไงนะ
ความรู้สึกที่ซับซ้อน: อดีตที่ไม่ได้อยากกลับไป แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้
เพลงนี้เหมือนกับการอัปเดตชีวิตให้แฟนเก่าฟังว่า "ฉันโอเคแล้วนะ ฉันกำลังเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ที่ดีเลยแหละ" (I'm doing good, I'm on some new shit, been saying yes instead of no) แต่มันก็มีความคิดถึงปนอยู่เบา ๆ เหมือนเวลาเราเจออะไรที่ชวนให้นึกถึงคนเก่า ๆ แล้วเผลอคิดไปว่า "เออ... ถ้าตอนนั้นมันไม่จบลงแบบนี้ จะเป็นยังไงนะ" มันไม่ใช่ความรู้สึกอยากกลับไปแก้ไขอะไร แต่เป็นการใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่ต่างออกไปในอดีตที่ไม่ได้มี "happy ending" ด้วยกัน
เบื้องหลังการสร้าง: บทสรุปที่สมบูรณ์แบบของ folklore
แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) โพรดิวเซอร์คู่บุญของเทย์เลอร์ในอัลบั้มนี้ เคยเล่าว่า "the 1" กับ "hoax" เป็นสองเพลงสุดท้ายที่แต่งเสร็จหลังอัลบั้มเกือบจะสมบูรณ์แล้ว Dessner บอกว่า "มันเหมือนบทสรุปของการจบหนังสือเลย" ซึ่งทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมเพลงนี้ถึงวางอยู่ต้นอัลบั้ม เหมือนการสรุปเรื่องราวที่อาจจะยังไม่สมบูรณ์ หรือเป็นแค่บางส่วนที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเราทุกคน
เทย์เลอร์เองก็บอกว่าท่อนเปิดเพลงนี้มีความหมายสองนัยในตัวมันเอง คือ:
การอัปเดตชีวิตให้แฟนเก่า: เหมือนเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ชีวิตฉันไปได้สวยนะ
เส้นทางใหม่ของการสร้างสรรค์: เป็นการสะท้อนถึงช่วงที่เทย์เลอร์ตัดสินใจ "แค่ตอบตกลง" กับทุกอย่าง ทั้งการออกอัลบั้มแบบไม่บอกล่วงหน้า ในตอนที่โลกกำลังอยู่ในภาวะล็อกดาวน์ หรือการได้ร่วมงานกับ Aaron Dessner ที่เธอชื่นชมมานาน และผลลัพธ์ก็คืออัลบั้ม folklore ที่กลายเป็นมาสเตอร์พีซอีกหนึ่งชิ้น
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง:
เรื่องเล่าของใครกันแน่? Aaron Dessner เคยแอบกระซิบว่า "the 1" ไม่ได้ถูกเขียนจากมุมมองของเทย์เลอร์ทั้งหมดนะ แต่มาจากมุมมองของเพื่อนคนอื่นด้วย นี่คือความสามารถของเทย์เลอร์ในการเล่าเรื่องราวของคนอื่นได้เหมือนเรื่องของตัวเองเลย
"I thought I saw you at the bus stop, I didn’t though": ท่อนนี้ให้อารมณ์เหมือนเวลาเราเห็นคนหน้าคล้ายแฟนเก่าในที่สาธารณะ แล้วใจแป้วไปแวบหนึ่ง ก่อนจะรู้ว่าไม่ใช่ เทย์เลอร์อาจจะนึกถึง Bus Stop Cafe ใน West Village นิวยอร์ก ที่เธอเคยอยู่ช่วง Cornelia Street ซึ่งเป็นที่ที่เธออาจจะเคยไปกับคนรักเก่า
"If you never bleed, you’re never gonna grow": ประโยคนี้บาดลึกแต่จริง มันบอกว่าถ้าเราไม่เคยเจ็บปวด ไม่เคยเจอเรื่องร้าย ๆ เราก็จะไม่เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น เหมือนแผลที่หายแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้เราจดจำบทเรียน
"Roaring twenties, tossing pennies in the pool": การโยนเหรียญลงสระเพื่ออธิษฐานเป็นสิ่งที่คนทำกันเวลาไปเที่ยว มันสื่อถึงความทรงจำดี ๆ ช่วงวัย 20 ที่สนุกสุดเหวี่ยงไร้กังวล ราวกับยุค Roaring Twenties ของอเมริกาที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงและอิสระ
"You know the greatest loves of all time are over now": อาจจะฟังดูสิ้นหวังนิด ๆ นะ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า ไม่ว่าความรักจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็มีวันสิ้นสุด บทเพลงนี้เหมือนจะบอกให้เรายอมรับความจริงข้อนี้ และก้าวต่อไปได้
"Chosen family": วลีนี้ปรากฏในท่อน "Rosé flowing with your chosen family" ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มเพื่อนสนิทที่รักกันเหมือนครอบครัว หรือบางทีก็มีความหมายที่กว้างกว่านั้นในสังคม LGBTQ+ ที่หมายถึงกลุ่มคนที่เลือกมารวมกันเป็นครอบครัวเมื่อครอบครัวสายเลือดไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย
"Digging up the grave another time": เป็นภาพที่ชัดเจนที่สุดของการรื้อฟื้นความทรงจำเก่า ๆ ที่จบไปแล้ว แม้จะรู้ว่าเจ็บปวดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำ เหมือนเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าสิ่งที่เคยมีอยู่นั้นมันจริงและมีความหมายแค่ไหน
บทเรียนจาก "the 1": การจากลาที่ไม่จำเป็นต้องจบแบบร้าย ๆ
"the 1" สอนให้เราเห็นว่าความสัมพันธ์ที่จบไปแล้วไม่ได้ต้องลงเอยด้วยความเกลียดชังเสมอไป บางครั้งมันก็ทิ้งความรู้สึกดี ๆ ความคิดถึง และความสงสัยเอาไว้ การย้อนมองอดีตไม่ได้แปลว่าเรายังจมอยู่กับมัน แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งที่ผ่านมา
เพลงนี้คือเพลงที่เหมาะกับ Swifties ที่เคยผ่านช่วงเวลาของการคิดถึงอดีตแบบ bittersweet หรือมีคำถามค้างคาใจในความสัมพันธ์ที่จบไปแล้ว มันคือการยอมรับว่าบางสิ่งอาจไม่ได้เป็น "the one" อย่างที่เราหวังไว้ แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวชีวิตที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้
เพลงนี้เปิดตัวที่อันดับ 4 บน Billboard Hot 100 และได้รับรางวัล Platinum จาก RIAA แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกซับซ้อนที่เทย์เลอร์ถ่ายทอดออกมานี้ ได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจคนฟังทั่วโลกจริง ๆ