ด้ายทองแห่งโชคชะตา ที่นำพาเรามาพบกัน
เพลง "invisible string" จากอัลบั้ม folklore เป็นบทเพลงที่งดงามราวบทกวี ว่าด้วยเรื่องของโชคชะตาและพรหมลิขิต โดยมีภาพเปรียบเทียบที่สำคัญคือ "ด้ายที่มองไม่เห็น" ที่เชื่อมโยงสองจิตวิญญาณเข้าไว้ด้วยกัน เหมือนกับตำนานพื้นบ้านเอเชียตะวันออกเกี่ยวกับด้ายแดงแห่งโชคชะตา
เพลงนี้พาเราย้อนกลับไปมองเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อที่ว่าทุก ๆ ย่างก้าว ไม่ว่าจะดีร้ายแค่ไหน ล้วนนำพาเราไปสู่จุดที่เราควรจะอยู่เสมอ เทย์เลอร์ได้นำภาพของ "ด้ายเส้นเดียว ที่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ผูกคุณไว้กับโชคชะตาของคุณ" มาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้
เมื่อได้ฟังเพลงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกอยากโยกตัวตามจังหวะสบาย ๆ คล้ายกับเพลงฮิตที่ผ่านมาอย่าง "Bad Blood", "Delicate", "Red" และ "Daylight" ซึ่งเราจะสังเกตเห็นว่าเทย์เลอร์ใช้สีต่าง ๆ ในการอธิบายความรักในรูปแบบที่หลากหลายเสมอ
เส้นทางที่แตกต่าง แต่ถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยด้ายแห่งโชคชะตา
เทย์เลอร์เริ่มต้นเล่าเรื่องราวด้วยภาพที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส และความหวังในวัยเด็ก:
"Green was the color of the grass / Where I used to read at Centennial Park": สีเขียวของหญ้าที่สวนสาธารณะเซ็นเทนเนียลพาร์คในแนชวิลล์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอเคยหวังว่าจะได้พบกับคนรักในอนาคต สีเขียวยังอาจสื่อถึงความอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาในเวลานั้น
"Teal was the color of your shirt / When you were sixteen at the yogurt shop / You used to work at to make a little money": ในขณะที่เทย์เลอร์กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่แนชวิลล์ อีกซีกโลกหนึ่ง ที่กรุงลอนดอน ในวัย 16 ปี แฟนหนุ่มของเธอ (โจ อัลวิน) ก็กำลังทำงานอยู่ที่ร้านโยเกิร์ต สีเขียวอมน้ำเงิน (teal) ของเสื้อที่เขาสวมใส่ เหมือนเป็นสีที่เชื่อมโยงทั้งสองคนเข้าไว้ด้วยกัน แม้จะอยู่กันคนละซีกโลกก็ตาม
"Time, curious time, gave me no compasses, gave me no signs / Were there clues I didn’t see?": เทย์เลอร์ครุ่นคิดถึงกาลเวลาที่น่าสงสัย เวลาที่ไม่ได้ให้เข็มทิศหรือสัญญาณใด ๆ เลย เธอถามว่า "มีเบาะแสอะไรที่ฉันมองไม่เห็นบ้างไหม?" ราวกับสงสัยว่ามีสัญญาณบางอย่างที่บอกเส้นทางให้เธอรู้ล่วงหน้าหรือไม่
"And isn’t it just so pretty to think / All along there was some / Invisible string / Tying you to me?": และช่างเป็นความคิดที่งดงามเหลือเกิน ที่จะคิดว่า "ตลอดมานั้นมีด้ายที่มองไม่เห็นบางเส้นผูกโยงเธอไว้กับฉัน" นี่คือแก่นของเพลง ที่สื่อถึงโชคชะตาที่เชื่อมโยงคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะผ่านพ้นเวลาหรือระยะทางไกลแค่ไหน พวกเขาก็จะตามหาอีกฝ่ายจนเจอเสมอ
จาก "เลือดเสีย" สู่ "ด้ายทองคำ": การเดินทางที่พาไปสู่ "สวรรค์"
เพลงนี้ยังเล่าถึงการเดินทางของชีวิตที่นำพาเธอมาพบกับความรักในปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบกับสีสันและเหตุการณ์ต่าง ๆ:
"Bad was the blood of the song in the cab on your first trip to LA": "เลือดเสีย" (bad blood) ของเพลงที่เปิดในแท็กซี่ตอนที่คุณเดินทางไปแอลเอครั้งแรก เป็นการอ้างอิงถึงเพลง "Bad Blood" ของเธอเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในอดีต (ยุค 1989 ที่เพลงนี้ฮิต) ก็ยังมีความเชื่อมโยงกับเขาอยู่
"Bold was the waitress on our three-year trip / Getting lunch down by the Lakes / She said I looked like an American singer": เมื่อทั้งคู่ได้คบกันครบ 3 ปี และไปเที่ยวที่ Lake District ในอังกฤษ พนักงานเสิร์ฟก็กล้าที่จะพูดว่า "คุณดูเหมือนนักร้องชาวอเมริกันเลย" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทรงจำดี ๆ และการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเธอ
"Cold was the steel of my axe to grind / For the boys who broke my heart / Now I send their babies presents": เทย์เลอร์เล่าถึงความเจ็บปวดในอดีตที่เคยมีต่อคนรักเก่าที่ทำให้เธอ "มีขวานคม ๆ สำหรับแก้แค้น" แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไป เธอถึงขั้น "ส่งของขวัญให้ลูก ๆ ของพวกเขา" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้อภัยและความสุขที่เธอพบเจอในปัจจุบัน
"One single thread of gold / Tied me to you": ด้ายที่มองไม่เห็นนั้นตอนนี้กลายเป็น "ด้ายทองคำ" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ล้ำค่าและยั่งยืน (เหมือนในเพลง "Daylight" ที่เธอเคยร้องว่า "ฉันเคยเชื่อว่าความรักจะเป็นสีแดงฉาน แต่ตอนนี้มันเป็นสีทอง")
"Hell was the journey, but it brought me heaven": การเดินทางในชีวิตที่ผ่านมาอาจจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก "เหมือนนรก" แต่สุดท้ายมันก็พาเธอมาสู่ "สวรรค์" ที่เธอได้พบกับความรักที่สมบูรณ์แบบ
"invisible string": ความงดงามของโชคชะตาที่ผูกพันสองดวงใจ
เพลง "invisible string" เป็นการย้ำเตือนเราว่าแม้แต่ความผิดพลาดในอดีตก็สามารถนำพาเราไปสู่ชัยชนะได้ และเป็นความคิดที่งดงามเหลือเกิน
"Time, wondrous time, gave me the blues and then purple-pink skies": กาลเวลาอันน่าอัศจรรย์ได้ให้ความเศร้าแก่เธอ (สีน้ำเงินจากยุค 1989) และจากนั้นก็มอบท้องฟ้าสีม่วงอมชมพู (สีแห่งความสุขจากยุค Lover) ซึ่งสะท้อนถึงการเดินทางทางอารมณ์ของเธอ
"And it’s cool, baby, with me / And isn’t it just so pretty to think / All along there was some invisible string tying you to me?": เธอยอมรับว่าเขาเองก็มีอดีตเช่นกัน และมันก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งคู่ต่างก็ต้องผ่านบททดสอบต่าง ๆ มาก่อนที่จะได้มาพบกัน และช่างเป็นความคิดที่งดงามเหลือเกิน ที่จะคิดว่าตลอดมานั้น มีด้ายที่มองไม่เห็นผูกโยงพวกเขาไว้ด้วยกันเสมอ
เพลง "invisible string" เปิดตัวที่อันดับ 37 บน Billboard Hot 100 และเป็นหนึ่งในบทเพลงที่หลายคนชื่นชอบเพราะเนื้อหาที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่เติบโตขึ้นของเทย์เลอร์ต่อความรักและโชคชะตา