จากความเจ็บปวดสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

เพลง "evermore" เป็นเพลงปิดท้ายชื่อเดียวกับอัลบั้มในเวอร์ชันมาตรฐาน เป็นเพลงบัลลาดเปียโนที่ชวนให้รู้สึกเหมือนการทำสมาธิ โดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางจากห้วงอารมณ์ที่จมดิ่งสู่ความซึมเศร้าและความเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ไปสู่จุดที่เต็มไปด้วยความหวังในที่สุด เพลงนี้ยังได้ Justin Vernon (Bon Iver) มาร่วมร้องและแต่งเพลงในส่วน Bridge ซึ่งเป็นส่วนที่สะท้อนถึงความคิดและความกังวลที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ

เทย์เลอร์ได้อธิบายในบทสัมภาษณ์กับ Apple Music ว่าความเศร้าในเพลงนี้มาจากสองสถานการณ์ที่แตกต่างกัน:

แม้เพลงนี้จะกล่าวถึงความมืดมิดและความเจ็บปวด แต่ไม่ใช่เพลงแห่งหายนะและความเศร้าโศกเสียทีเดียว เพราะในตอนจบ เธอก็ได้ข้อสรุปว่า "ความเจ็บปวดนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไปหรอก"

เพลง "evermore" ถูกเขียนขึ้นร่วมกับ Joe Alwyn (ในนาม William Bowery) และ Justin Vernon โดย Joe Alwyn เป็นผู้แต่งส่วนเปียโนหลัก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและพิเศษสำหรับเทย์เลอร์ เนื่องจากในเพลง "exile" จากอัลบั้มก่อน Joe ก็เป็นคนแต่งส่วนเปียโนเช่นกัน แต่ Aaron เป็นคนเล่นให้ในเพลงนั้น


แกะเนื้อเพลง "evermore": การต่อสู้กับความสิ้นหวังและการค้นพบแสงนำทาง

เพลงนี้พาเราดำดิ่งลงสู่ห้วงอารมณ์อันมืดมิดและค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่ความหวัง:


บทสรุปจาก "evermore": การฟื้นคืนจากความมืดมิด

เพลง "evermore" ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงปิดท้ายของอัลบั้มชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่ยังเป็นบทสรุปเชิงสัญลักษณ์ของการเดินทางของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในการเอาชนะความซึมเศร้าและความสิ้นหวัง เธอบรรยายถึงการจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงการค้นพบแสงสว่างและทางออก

เพลงนี้ย้ำเตือนว่าไม่ว่าความเจ็บปวดจะรุนแรงเพียงใด มันก็ไม่สามารถคงอยู่ "ตลอดไป" ได้เสมอไป ความหวังและการมีคนคอยสนับสนุนคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และกลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

เพลง "evermore" เปิดตัวที่อันดับ 57 บน Billboard Hot 100 และเป็นเพลงที่ติดชาร์ตสูงสุดเป็นอันดับที่แปดของอัลบั้ม การเปลี่ยนแปลงจังหวะเพลงในช่วง Bridge และการร่วมงานกับ Bon Iver ทำให้เพลงนี้เป็นบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ได้อย่างน่าประทับใจ