จากความเจ็บปวดสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เพลง "evermore" เป็นเพลงปิดท้ายชื่อเดียวกับอัลบั้มในเวอร์ชันมาตรฐาน เป็นเพลงบัลลาดเปียโนที่ชวนให้รู้สึกเหมือนการทำสมาธิ โดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางจากห้วงอารมณ์ที่จมดิ่งสู่ความซึมเศร้าและความเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ไปสู่จุดที่เต็มไปด้วยความหวังในที่สุด เพลงนี้ยังได้ Justin Vernon (Bon Iver) มาร่วมร้องและแต่งเพลงในส่วน Bridge ซึ่งเป็นส่วนที่สะท้อนถึงความคิดและความกังวลที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ
เทย์เลอร์ได้อธิบายในบทสัมภาษณ์กับ Apple Music ว่าความเศร้าในเพลงนี้มาจากสองสถานการณ์ที่แตกต่างกัน:
เหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020: เธอกำลัง "เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น และพยายามมองหาแสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์" ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อสถานการณ์บ้านเมือง
ความขัดแย้งกับ Kanye West และ Kim Kardashian ในปี 2016: เหตุการณ์ที่ Kim Kardashian โพสต์คลิปเสียงที่ถูกตัดต่อ ทำให้เทย์เลอร์ถูกโจมตีอย่างหนักว่าเป็นคนโกหก และถูกตราหน้าว่าเป็น "งูพิษ" รวมถึงการเลิกรากับคนรักในอดีต ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตของเธอ เทย์เลอร์กล่าวว่า "ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นเพียงการใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อผ่านไปให้ได้ พยายามค้นหาความหวังริบหรี่ทั้งหมดนั้น"
แม้เพลงนี้จะกล่าวถึงความมืดมิดและความเจ็บปวด แต่ไม่ใช่เพลงแห่งหายนะและความเศร้าโศกเสียทีเดียว เพราะในตอนจบ เธอก็ได้ข้อสรุปว่า "ความเจ็บปวดนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไปหรอก"
เพลง "evermore" ถูกเขียนขึ้นร่วมกับ Joe Alwyn (ในนาม William Bowery) และ Justin Vernon โดย Joe Alwyn เป็นผู้แต่งส่วนเปียโนหลัก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและพิเศษสำหรับเทย์เลอร์ เนื่องจากในเพลง "exile" จากอัลบั้มก่อน Joe ก็เป็นคนแต่งส่วนเปียโนเช่นกัน แต่ Aaron เป็นคนเล่นให้ในเพลงนั้น
แกะเนื้อเพลง "evermore": การต่อสู้กับความสิ้นหวังและการค้นพบแสงนำทาง
เพลงนี้พาเราดำดิ่งลงสู่ห้วงอารมณ์อันมืดมิดและค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่ความหวัง:
"Gray November, I’ve been down since July.": เธอเริ่มต้นเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความเศร้าที่ยาวนานถึงห้าเดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม (ช่วงเวลาที่เกิดดราม่าใหญ่ในปี 2016) มาจนถึงเดือนพฤศจิกายนที่มืดหม่น
"Motion capture / Put me in a bad light / I replay my footsteps on each stepping stone / Trying to find the one where I went wrong.": เธอเปรียบเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกภาพและเสียงว่าเป็น "motion capture" ที่ทำให้เธอถูกมองในแง่ร้าย เธอพยายามย้อนรอยความทรงจำ "ทุกย่างก้าว" เพื่อค้นหาจุดที่เธอ "ก้าวพลาด"
"Writing letters / Addressed to the fire": เธอเขียนระบายความรู้สึกที่มืดมิดที่สุดลงในจดหมาย แล้ว "ส่งไปให้ไฟ" เผาทำลาย ซึ่งอาจสื่อถึงการระบายอารมณ์โดยไม่ได้ตั้งใจให้ใครอ่าน หรือการละทิ้งความผิดหวังในอดีต
"And I was catchin’ my breath / Starin’ out an open window, catchin’ my death / And I couldn’t be sure / I had a feeling so peculiar / That this pain would be for / Evermore.": เธอพยายาม "หายใจ" แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลัง "รับความตาย" (จากอากาศหนาวนอกหน้าต่าง) และมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้เธอเชื่อว่า "ความเจ็บปวดนี้จะคงอยู่ตลอดไป"
"Hey December, guess I’m feeling unmoored / Can’t remember / What I used to fight for": เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคม เธอยังคงรู้สึก "ไร้ทิศทาง" และ "จำไม่ได้ว่าเคยต่อสู้เพื่ออะไร" ซึ่งเป็นอาการของภาวะซึมเศร้าที่ทำให้สูญเสียแรงจูงใจ
"I rewind the tape / But all it does is pause / On the very moment all was lost.": เธอพยายามย้อนอดีตเพื่อหาทางแก้ไข แต่ภาพที่ปรากฏมีเพียง "ช่วงเวลาที่ทุกสิ่งสูญเสียไป"
"Can’t not think of all the cost / And the things that will be lost / Oh, can we just get a pause? / To be certain we’ll be tall again.": เธอคิดถึง "ราคาที่ต้องจ่าย" และ "สิ่งที่กำลังจะสูญเสียไป" เธอปรารถนาที่จะหยุดเวลาชั่วคราว เพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะสามารถกลับมายืนหยัด "สูงสง่า" ได้อีกครั้ง
"When I was shipwrecked, I thought of you / In the cracks of light, I dreamed of you / It was real enough / To get me through.": เมื่อเธอรู้สึกเหมือน "เรือแตก" (จมดิ่งในความสิ้นหวัง) เธอกลับ "คิดถึงคุณ" และ "ฝันถึงคุณ" ใน "รอยแตกของแสง" (ประกายแห่งความหวัง) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ "จริงพอที่จะทำให้ฉันผ่านมันไปได้" ผู้ที่เธอนึกถึงอาจเป็นคนรักอย่าง Joe Alwyn หรืออาจหมายถึงแฟนเพลงของเธอที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
"Floors of a cabin creakin’ under my step / And I couldn’t be sure / I had a feeling so peculiar / This pain wouldn’t be for / Evermore.": ในตอนท้ายของเพลง เธอก้าวเดินอยู่บน "พื้นห้องไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด" ในกระท่อม (ซึ่งเปรียบเสมือนป่าของ folklore ที่เป็นที่หลบภัย) และเธอเริ่มรู้สึกว่า "ความเจ็บปวดนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป" อีกต่อไป
บทสรุปจาก "evermore": การฟื้นคืนจากความมืดมิด
เพลง "evermore" ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงปิดท้ายของอัลบั้มชื่อเดียวกันเท่านั้น แต่ยังเป็นบทสรุปเชิงสัญลักษณ์ของการเดินทางของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในการเอาชนะความซึมเศร้าและความสิ้นหวัง เธอบรรยายถึงการจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงการค้นพบแสงสว่างและทางออก
เพลงนี้ย้ำเตือนว่าไม่ว่าความเจ็บปวดจะรุนแรงเพียงใด มันก็ไม่สามารถคงอยู่ "ตลอดไป" ได้เสมอไป ความหวังและการมีคนคอยสนับสนุนคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และกลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
เพลง "evermore" เปิดตัวที่อันดับ 57 บน Billboard Hot 100 และเป็นเพลงที่ติดชาร์ตสูงสุดเป็นอันดับที่แปดของอัลบั้ม การเปลี่ยนแปลงจังหวะเพลงในช่วง Bridge และการร่วมงานกับ Bon Iver ทำให้เพลงนี้เป็นบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง และเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ได้อย่างน่าประทับใจ