เมื่อความรักกลายเป็นความเฉยชา... บทเพลงแห่งหัวใจที่ถูกละเลย
เพลง "tolerate it" คือเพลงลำดับที่ 5 ของอัลบั้ม evermore ซึ่งตามธรรมเนียมของอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์แล้ว "Track 5" มักจะเป็นเพลงที่เศร้าที่สุด หรือเพลงที่ละเอียดอ่อนเปิดเผยความเปราะบางภายในใจมากที่สุด และเพลงนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ "tolerate it" คือบทเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกละเลยในความสัมพันธ์คู่รัก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะพยายามทำอะไรให้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้รับการใส่ใจ ให้ความสำคัญ หรือแม้แต่สังเกตเห็นเลย
เทย์เลอร์ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกเพลงนี้เป็น Track 5 ในการแช็ตบน YouTube ว่า:
"ฉันตัดสินใจเลือกแทร็กที่ห้าเพราะเนื้อเพลงของ 'tolerate it' และมันเห็นภาพขึ้นมาเลย มันสื่อถึงความเจ็บปวดได้แบบเฉพาะเจาะจง"
แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) โพรดิวเซอร์และผู้ร่วมแต่งเพลงนี้ ได้เล่าให้ Rolling Stone ฟังว่าเขาได้แต่งทำนองเปียโนสำหรับเพลงนี้ด้วยจังหวะเวลาที่ค่อนข้างแปลก (10/8) และก็สงสัยว่ามันจะดูทดลองเกินไปสำหรับเทย์เลอร์ไหม แต่ก็ยังส่งให้เธออยู่ดี:
"เหมือนร่ายมนตร์เลย ทำให้นิกถึงฉากหนึ่งในใจของเธอ และเธอเขียนเพลงที่ไพเราะบาดใจขนาดนี้และส่งมันกลับมา ฉันคิดว่าฉันร้องไห้เมื่อได้ยินมันครั้งแรก"
แรงบันดาลใจจาก "Rebecca" และความรู้สึกส่วนตัว
เนื้อเพลงบรรยายถึงความรู้สึกของการถูกเพิกเฉย ถูกลดทอนคุณค่า และถูกทำให้รู้สึกไม่สำคัญจากคนรัก เพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากนวนิยายกอทิกเรื่อง Rebecca ของ Daphne du Maurier ในปี 1938 และยังสะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัวของ Taylor เอง
ในการให้สัมภาษณ์กับ Zane Lowe ของ Apple Music (ซึ่ง Entertainment Weekly ก็ได้อ้างอิงถึง) Taylor Swift เปิดเผยว่านวนิยายเรื่อง Rebecca คือแรงบันดาลใจสำคัญในการแต่งเพลง "Tolerate It" เธอกล่าวว่าขณะที่อ่านหนังสือ เธอรู้สึกว่า "ว้าว สามีของเธอแค่ทนอยู่กับเธอ เธอทำทุกอย่าง เธอพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างความประทับใจให้เขา แต่เขาก็แค่ทนอยู่กับเธอตลอดเวลา" Taylor เสริมว่า "มีส่วนหนึ่งในตัวฉันที่เชื่อมโยงกับเรื่องนั้นได้ เพราะในบางช่วงชีวิต ฉันก็รู้สึกแบบนั้น"
เพลง "Tolerate It" จึงเป็นเรื่องราวของความพยายามที่จะรักใครบางคนที่แสดงท่าทีไม่แยแส เธอได้อธิบายเพลงนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสามเพลงในอัลบั้ม evermore ที่เกี่ยวกับการความรักที่ล้มเหลว ซึ่งรวมถึง "infidelity, ambivalent toleration, and even murder" (การนอกใจ การทนอยู่ด้วยความไม่แยแส และแม้กระทั่งการฆาตกรรม) เพลงอื่น ๆ ในหมวดนี้คือ "no body, no crime" และ "ivy" จากอัลบั้มชุดเดียวกัน อัลบั้ม evermore
แกะเนื้อเพลง "tolerate it": ความพยายามที่ถูกมองข้าม
เพลง "tolerate it" เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวเอกที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คู่รักของเธอสังเกตเห็นและเห็นคุณค่าในตัวเธอ แต่กลับได้รับเพียงความเฉยชาและถูกเมินเฉย:
"I sit and watch you readin’ with your head low / I wake and watch you breathin’ with your eyes closed": เธอเฝ้าสังเกตเขาอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาก้มหน้าอ่านหนังสือ หรือตอนที่เขานอนหลับตาหายใจอยู่ข้าง ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ชิด แต่ดวงตาที่หลับอยู่ก็เป็นสัญลักษณ์ของการที่เขา "มองไม่เห็น" เธอเลย
"I sit and watch you, I notice everything you do or don’t do": เธอสังเกตทุกอย่างที่เขาทำและไม่ได้ทำ พยายามมองหาหลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าเขายังเห็นคุณค่าในตัวเธออยู่บ้างไหม
"You’re so much older and wiser": เธอพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าบางทีความเฉยชาของเขาอาจจะเป็นเพราะเขา "อายุมากกว่าและฉลาดกว่า" เธอจึงตั้งคำถามในตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติของการเป็นผู้ใหญ่ในความสัมพันธ์หรือไม่
"I wait by the door like I’m just a kid": เธอเฝ้ารอคอยเขากลับมาบ้านอย่างกระวนกระวาย เหมือนเด็กน้อยที่รอพ่อแม่กลับบ้าน
"Use my best colors for your portrait": เธอพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อ "วาดภาพเหมือน" ของเขาด้วย "สีที่ดีที่สุด" ของเธอ ซึ่งอาจหมายถึงการทุ่มเทความรักทั้งหมดเพื่อเขา หรือแม้แต่การแต่งเพลงเพื่อเขา
"I lay the table with the fancy shit / And watch you tolerate it": เธอจัดโต๊ะอาหารด้วยจานชามราคาแพง อาจจะเป็นชุดเครื่องใช้ในงานแต่งงาน เพื่อทำให้มื้อค่ำธรรมดา ๆ พิเศษขึ้นมา แต่เขากลับ "ทน" กับมัน นั่นคือไม่แสดงความชื่นชมหรือใส่ใจเลย
"If it’s all in my head tell me now / Tell me I’ve got it wrong somehow": เธอร้องขอให้เขาบอกเธอว่าสิ่งที่เธอรู้สึกนั้นเป็นแค่ความคิดไปเองไหม เพราะเธอเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเสียสติ
"I know my love should be celebrated / But you tolerate it": ในส่วนลึกของหัวใจ เธอรู้ว่าความรักของเธอควรได้รับการเฉลิมฉลอง ได้รับการเห็นคุณค่า แต่เขากลับ "ทน" กับมันเท่านั้น
"I greet you with a battle hero’s welcome / I take your indiscretions all in good fun": เธอต้อนรับเขาราวกับวีรบุรุษที่กลับมาจากสงครามอย่างยิ่งใหญ่ แต่เธอกลับต้อง "ทน" กับความไม่ซื่อสัตย์ของเขาด้วยการทำเป็นเรื่องสนุก ๆ หรือมองข้ามไป
"I polish plates until they gleam and glisten": เธอขัดจานชามจนเงางามเป็นประกาย เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเขา แสดงถึงความพยายามและความใส่ใจที่ถูกมองข้ามไป
"While you were out buildin’ other worlds, where was I?": ขณะที่เขาออกไปสร้าง "โลกอื่น ๆ" ที่ไม่มีเธออยู่ด้วย เธออยู่ไหน? เธออยู่ที่บ้าน ทำสิ่งเดิม ๆ รอคอยเขากลับมา
"Where’s that man who’d throw blankets over my barbed wire?": ผู้ชายคนนั้นหายไปไหน ผู้ชายที่เคยคอยปกป้องเธอ คอยปลอบโยนเธอ ไม่ให้เธอเจ็บปวดจาก "ลวดหนาม" ในชีวิตของเธอเอง
"I made you my temple, my mural, my sky / Now I’m beggin’ for footnotes in the story of your life": เธอทำให้เขากลายเป็นโลกทั้งใบของเธอ เป็นวิหารที่เธอเคารพบูชา เป็นภาพวาดฝาผนังที่โอบล้อมเธอไว้ และเป็นท้องฟ้าของเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับต้อง "อ้อนวอนขอแค่เป็นเชิงอรรถ" (footnote) ในเรื่องราวชีวิตของเขา ขอแค่ให้มีชื่อเธอถูกกล่าวถึงบ้าง
"I was always takin’ up too much space or time / You assume I’m fine": เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลัง "กินพื้นที่หรือเวลา" ของเขามากเกินไป และเขาก็เอาแต่คิดว่าเธอ "สบายดี" โดยที่ไม่เคยถามไถ่เลย
"What would you do if I break free and leave us in ruins?": เธอถามว่าเขาจะทำอย่างไรถ้าเธอ "หลุดพ้น" ออกไป และปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้พังทลายลง
"What would you do if I took this dagger in me and removed it?": เขาเป็นคนที่แทง "มีดสั้น" เล่มนี้ไว้ในใจของเธอ ถ้าเธอเอามันออก เธอจะเลือดไหลไม่หยุดไหม หรือเธอจะหายดีและเจอใครที่ดีกว่า นี้คือคำถามที่เจ็บปวดที่สุดของเพลง
"Gain the weight of you, then lose it": เธอแบกรับ "น้ำหนัก" ของเขาไว้ทั้งหมด ทั้งภาระและความรับผิดชอบในโลกที่เขาสร้างขึ้นมา แล้วถ้าเธอทิ้งมันไปล่ะ? เธอจะรู้สึกเป็นอิสระหรือไม่?
"Believe me, I could do it": เธอเชื่อมั่นว่าเธอสามารถทำสิ่งนั้นได้ ซึ่งเป็นเหมือนคำขู่ที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง
บทสรุปจาก "tolerate it": การต่อสู้ภายในที่ไร้เสียง
เพลง "tolerate it" เป็นการถ่ายทอดความโกรธแค้นของผู้หญิงที่ถูกทำให้รู้สึกไร้ค่าและถูกเมินเฉยอย่างเจ็บปวด มันสะท้อนถึงการต่อสู้ภายในของคนที่พยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้รับความรักและการเห็นคุณค่าจากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่กลับต้องเผชิญกับความเฉยชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าเทย์เลอร์จะไม่ได้เปิดเผยว่าเพลงนี้มีแรงบันดาลใจมาจากบุคคลจริงหรือไม่ แต่อารมณ์และความเปรียบเปรยที่เธอใช้นั้นก็เชื่อมโยงกับผู้ฟังที่เคยรู้สึกไม่ได้รับการเห็นคุณค่าในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง
เพลงนี้เปิดตัวที่อันดับ 45 บน Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นเพลงที่ติดชาร์ตสูงสุดเป็นอันดับหกของอัลบั้ม evermore และยังคงตอกย้ำถึงความสามารถของเทย์เลอร์ในการสร้างสรรค์บทเพลงที่เต็มไปด้วยความเปราะบางและสะเทือนอารมณ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ "Track 5" ในอัลบั้มของเธอมาโดยตลอด