สงครามความปรารถนาในโลกแห่งความฝัน
เพลงนี้มีกลิ่นอายความพอปที่ชัดเจนที่สุดในอัลบั้มเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นเพลงเดียวใน evermore ที่แจ็ค แอนโทนอฟฟ์ (Jack Antonoff) มาเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับเทย์เลอร์ สวิฟต์ แทนที่จะเป็นแอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) ที่ดูแลเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้
เพลงนี้ถ่ายทอดความรู้สึกหึงหวง และความต้องการที่จะครอบครองคนที่ฮอตสุด ๆ ที่ใคร ๆ ก็อยากได้มาครอบครอง เจ้าของเพลงเขาก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเสน่ห์ของเขาคนนั้นเหมือนกัน
สี "ทอง" เป็นคำที่เทย์เลอร์พูดถึงบ่อยที่สุดในเพลงนี้ และก็น่าสนใจว่าเธอเคยใช้คำนี้ในเพลง "invisible string" จากอัลบั้ม folklore เพื่อสื่อถึงความโรแมนติกและความผูกพันที่เชื่อมโยงเธอกับคนรัก แต่ในเพลง "gold rush" นี้ "สีทอง" กลับถูกใช้เพื่อสื่อถึงความรู้สึก "หึงหวง" ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว
เมื่อใคร ๆ ก็อยากได้ "ทอง"
เพลง "gold rush" เปรียบเปรยสถานการณ์ความปรารถนาในตัวใครคนหนึ่ง เหมือนกับการ "ตื่นทอง" (Gold Rush) ในแคลิฟอร์เนียปี 1848 ที่ผู้คนหลั่งไหลกันมาเพื่อช่วงชิงทองคำ เพราะใคร ๆ ก็อยากร่ำรวย เพลงนี้ก็เช่นกัน ทุกคนต่างหลงใหลในความน่าดึงดูดของคนคนนี้ และอยากจะครอบครองเขา
เทย์เลอร์พูดถึงความรู้สึกเหล่านี้ว่า:
"Cause I don't like a gold rush, gold rush / I don't like anticipatin' my face in a red flush": เธอไม่ชอบการแข่งขันแย่งชิง "ทองคำ" ครั้งนี้เอาเสียเลย เธอไม่อยากต้องหน้าแดง (ด้วยความเขินอาย อิจฉา หรือโกรธ) เพียงเพื่อแย่งชิงความสนใจ
"I don't like that anyone would die to feel your touch / Everybody wants you": เธอไม่ชอบเลยที่ใคร ๆ ก็อยากจะ "ตาย" เพื่อได้สัมผัสเธอ/เขา ทุกคนต่างปรารถนาในตัวเธอ/เขา ทำให้เกิดการแข่งขันขึ้นมา
"My mind turns your life into folklore / I can't dare to dream about you anymore": ความคิดของเธอพาจินตนาการถึงชีวิตของคนคนนั้น จนกลายเป็นเหมือนนิทานพื้นบ้าน (folklore) ที่สวยงามเกินจริง แต่เธอก็รู้ตัวว่าต้องหยุดฝัน เพราะมันไม่มีทางเป็นจริงได้ และในเพลงนี้เป็นเพลงเดียวในอัลบั้ม folklore และ evermore ที่เทย์เลอร์ใช้คำว่า "folklore" ตรง ๆ เลยนะ
แกะเนื้อเพลง "gold rush": จมดิ่งสู่ห้วงฝันร้าย
เพลง "gold rush" พาเราดำดิ่งเข้าไปในห้วงจินตนาการของตัวเอก ที่เต็มไปด้วยความริษยา ความปรารถนา และการต้องการครอบครองสิ่งที่อยู่ในความฝันของเธอ:
"Gleaming, twinkling / Eyes like sinking / Ships on waters / So inviting, I almost jump in": ดวงตาของคนคนนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ สวยงามราวกับเรือที่กำลังจมลงในผืนน้ำที่ชวนให้กระโดดลงไป เหมือนมีแรงดึงดูดที่อันตราย แต่ก็ชวนให้หลงใหลจนแทบจะกระโดดลงไปไม่ไหว
"I don’t like that falling feels like flying ’til the bone crush": การตกหลุมรักนั้นรู้สึกเหมือนได้ "โบยบิน" ไปในอากาศ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ตกลงมา "กระดูกหัก" หรือก็คือหัวใจแตกสลาย
"What must it be like to grow up that beautiful? / With your hair falling into place like dominoes.": เขาช่างเป็นคนที่มีความงดงามมาตั้งแต่เกิด ทุกอย่างในชีวิตดูราบรื่นไปหมด ราวกับเส้นผมที่จัดทรงเองได้อย่างเป็นระเบียบ เหมือนโดมิโนที่เรียงกันสวยงาม
"I see me padding across your wooden floors / With my Eagles t-shirt hanging from the door.": เธอจินตนาการภาพตัวเองในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ได้เดินไปมาบนพื้นไม้ในบ้านของเขา โดยมีเสื้อยืดทีม Eagles ของเธอแขวนอยู่ที่ประตู
เกร็ดน่ารู้: แฟนเพลงถกเถียงกันว่า "Eagles" ที่เทย์เลอร์พูดถึงคือวงดนตรี The Eagles หรือทีมอเมริกันฟุตบอล Philadelphia Eagles แต่เทย์เลอร์ได้เฉลยเองในปี 2023 ระหว่างคอนเสิร์ตที่ฟิลาเดลเฟียว่า เธอรักวงดนตรี The Eagles นะ แต่ที่พูดถึงในเพลงคือ ทีม Philadelphia Eagles เพราะเธอมาจากเมืองฟิลาเดลเฟียนั่นเอง
"At dinner parties, I call you out on your contrarian shit.": ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ เธอจินตนาการว่าเธอสามารถพูดจาหยอกล้อหรือตำหนิเขาได้ตรง ๆ ต่อหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมและเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง
"And the coastal town we wandered ’round / Had never seen a love as pure as it.": เธอฝันถึงการท่องเที่ยวในเมืองชายทะเลที่พวกเขาจะเดินเล่นด้วยกัน และความรักของพวกเขาจะบริสุทธิ์งดงามจนไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
"And then it fades into the gray of my day-old tea / ’Cause it could never be.": แต่แล้วความฝันอันแสนสุขนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป กลายเป็นภาพหม่น ๆ เหมือนชาที่ชงค้างไว้เมื่อวาน เพราะเธอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง
บทสรุปจาก "gold rush": ความฝันที่สวยงามแต่ไม่อาจเอื้อม
เพลง "gold rush" เป็นเหมือนการเดินทางเข้าไปในห้วงจินตนาการอันซับซ้อน ที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความหึงหวง และความต้องการที่จะครอบครองใครบางคนอย่างสุด ๆ แม้ว่าในท้ายที่สุดตัวเอกจะตระหนักว่าความฝันนั้นไม่อาจเป็นจริงได้ เธอก็ยังคงยอมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในจินตนาการอันสวยงามนั้น เพราะมันคือการหลีกหนีจากโลกแห่งความจริงที่เธอไม่ชอบใจ
เพลงนี้เปิดตัวที่อันดับ 40 บน Billboard Hot 100 และเป็นเพลงที่ติดชาร์ตสูงสุดเป็นอันดับห้าของอัลบั้ม evermore ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ขึ้นอันดับหนึ่งเหมือนเพลง "willow" แต่ "gold rush" ก็ยังคงเป็นเพลงที่มีเสน่ห์ดึงดูด และทำให้เราเห็นมุมมองที่แตกต่างของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่กล้าถ่ายทอดความรู้สึกซับซ้อนอย่างความหึงหวงออกมาได้อย่างงดงาม และยังคงกลิ่นอายความเป็นป๊อปที่ลงตัวในอัลบั้มที่ส่วนใหญ่เป็นแนวอินดี้โฟล์ก