เมื่อคนสองคนมองความรักที่พังทลายจากคนละมุม
เพลง "exile" ในอัลบั้ม folklore พาเราดำดิ่งลงไปในความสัมพันธ์ที่จบลงแล้ว แต่กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง มันคือการสนทนาที่เต็มไปด้วยความค้างคาใจระหว่างคนรักเก่าสองคน ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งและไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง
เพลงนี้โดดเด่นมาก ๆ ด้วยการร้องแบบดูเอ็ตระหว่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ กับ Bon Iver เสียงของ Bon Iver ที่มีทุ้มลึก ตัดกันกับเสียงของเทย์เลอร์ที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน ซึ่งการจับคู่เสียงแบบนี้ทำให้เราเห็นภาพอารมณ์ที่ขัดแย้งกันของตัวละครทั้งสองได้อย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความสับสนว่าทำไมอีกคนถึงมูฟออนได้เร็วเหลือเกิน ส่วนอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าตัวเองส่งสัญญาณเตือนมาตลอดว่าความสัมพันธ์กำลังมีปัญหา
ความไม่เข้าใจที่นำไปสู่การจากลา
เทย์เลอร์เคยเล่าว่าเพลงนี้เป็นเรื่องของการสื่อสารที่ผิดพลาดในความสัมพันธ์ เธอจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่ความเข้าใจผิดเหล่านั้นนำไปสู่จุดจบของความรัก และเมื่อทั้งสองกลับมาเจอกันครั้งแรกหลังเลิกกัน พวกเขาก็ยังคง "สื่อสารกันผิดพลาด" ไม่สามารถเข้าใจกันได้เหมือนเดิม
ในเพลงนี้ ช่วงแรก ๆ จะเป็นมุมมองของผู้ชาย (Bon Iver) ที่สับสนและเจ็บปวดกับการที่อดีตคนรักมีคนใหม่ไปแล้ว ส่วนท่อนหลังจะเป็นมุมมองของผู้หญิง (เทย์เลอร์) ที่บอกว่าจริง ๆ แล้วเธอส่งสัญญาณเตือนมาตลอด แต่เขาไม่เคยรับรู้ และในช่วงท้ายของเพลง ทั้งคู่จะร้องทับกัน เหมือนกับการที่ต่างฝ่ายต่างพูด แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเลย เป็นภาพสะท้อนของ "โศกนาฏกรรมของเรือสองลำที่สวนทางกันในยามค่ำคืน" ที่ไม่มีวันโคจรมาพบกันได้อีก
ภาพสะท้อนจากเพลงเก่า และบุคคลเบื้องหลัง
เพลง "exile" ชวนให้นึกถึง "The Last Time" ในอัลบั้ม Red ซึ่งเป็นอีกเพลงที่พูดถึงจุดจบของความสัมพันธ์ที่เสียงของ Gary Lightbody ก็ตัดกับเสียงของเทย์เลอร์คล้ายกัน ทำให้เห็นความขัดแย้งในความรู้สึกของตัวละคร
สำหรับเสียงเปียโนที่แสนไพเราะในเพลงนี้ ที่ขึ้นเครดิตว่า William Bowery นั้น เทย์เลอร์ได้เปิดเผยใน folklore: the long pond studio sessions บน Disney+ ว่า William Bowery ไม่มีตัวตนจริง แต่เป็นเพียงชื่อนามแฝงของ โจ อัลวิน (Joe Alwyn) แฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง โจเป็นคนเขียนคอร์ดเปียโนเพลงนี้ขึ้นมาเอง แถมเขายังร่วมแต่งเพลงในอัลบั้ม folklore ถึง 2 เพลง คือ "exile" และ "betty" ด้วย ความลับนี้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟน ๆ อย่างมาก เพราะโจอัลวินไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะนักแต่งเพลงมาก่อนเลย
เกร็ดน่ารู้ และสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง:
"You’re not my homeland anymore": ประโยคนี้คือแก่นของเพลงเลย อดีตคนรักเคยเป็นเหมือน "บ้านเกิด" ที่เราเคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและปลอดภัย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เรากลายเป็นคนที่ถูก "เนรเทศ" ออกมา
"I think I’ve seen this film before, and I didn’t like the ending": เปรียบเทียบความสัมพันธ์กับภาพยนตร์ที่เขารู้ตอนจบอยู่แล้วว่าเป็นโศกนาฏกรรม การที่ความรักจบลงแบบไม่สวยงาม ทำให้เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นฉากจบแบบนี้มาก่อน
"Like he’s just your understudy": มุมมองของผู้ชายที่รู้สึกว่าคนรักใหม่ของเธอเป็นแค่ตัวสำรอง เป็นตัวแทนชั่วคราวที่ไม่ใช่ของจริง สะท้อนความรู้สึกหึงหวงและยังไม่ยอมรับความจริง
"You were my crown, now I’m in exile seeing you out": "มงกุฎ" ในที่นี้อาจจะหมายถึงความสำเร็จสูงสุด ความภาคภูมิใจ หรือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้เขาถูกปลดจากตำแหน่งนั้นแล้ว และต้องมองดูเธอจากไปในฐานะคนที่ถูกเนรเทศ
"We always walked a very thin line": สื่อถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางมาตลอด เหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายหรือกิ่งไม้ที่พร้อมจะหักลงได้ทุกเมื่อ เป็นการตอกย้ำว่าปัญหาการสื่อสารนั้นมีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิด
บทเรียนจาก "exile": ความเจ็บปวดจากการจากลาที่ไม่มีวันเข้าใจกัน
"exile" เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความเจ็บปวดของการจากลาได้อย่างลึกซึ้ง มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งแม้จะรักกันมากแค่ไหน แต่ถ้าการสื่อสารไม่ตรงกัน การจากลาก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้จะเลิกกันไปแล้ว ความไม่เข้าใจเหล่านั้นก็ยังคงตามหลอกหลอน
การที่เทย์เลอร์และ Bon Iver สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ขัดแย้งกันได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เพลงนี้กลายเป็นบทเพลงแห่งความผิดหวังและความเจ็บปวดจากการถูก "เนรเทศ" ออกจาก "บ้าน" หรือความสัมพันธ์เดิมที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
เพลง "exile" เปิดตัวที่อันดับ 6 บน Billboard Hot 100 และเป็นเพลง Top 10 ครั้งแรกของ Bon Iver บนชาร์ตนี้ด้วย และยังได้รับรางวัล Platinum จาก RIAA ยืนยันถึงความสำเร็จและพลังของเพลงนี้ที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจผู้ฟังทั่วโลกได้