บางครั้งการยอมแพ้ก็คือสิ่งที่เข้มแข็ง และบางครั้งการวิ่งหนีก็คือความกล้าหาญ
เพลง "it's time to go" คือเพลงสุดท้ายในเวอร์ชันดีลักซ์ของอัลบั้ม evermore (เพลงโบนัสแทร็กอีกเพลงคือ "right where you left me") ซึ่งถูกปล่อยให้ฟังในแพลตฟอร์มดิจิทัลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2021 เพลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของการปิดฉากยุคของอัลบั้ม folklore และ evermore โดยมีแก่นเรื่องหลักคือ "การฟังเสียงสัญชาตญาณ" เมื่อถึงเวลาที่ต้องก้าวเดินออกไปจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อชีวิต
เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้กล่าวถึงเพลงนี้ผ่าน X ว่า "it's time to go" คือการฟังเสียงสัญชาตญาณของคุณเมื่อมันบอกให้คุณออกไป "คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่ต้องไป คุณรู้ก่อนที่คุณจะรู้ คุณเข้าใจไหม?"
ในเพลงนี้ เทย์เลอร์ได้เล่าถึงเหตุการณ์แย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ สถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรม หรือการถูกทรยศหักหลัง และสื่อสารว่าเมื่อเราไม่ทนอยู่ในจุดที่มีแต่เรื่องเลวร้ายมากมาย และเรากล้าที่จะเดินออกมาเพื่อพบกับสิ่งใหม่ ๆ นั่นคือเรื่องที่ "กล้าหาญมาก"
เพลงนี้ถูกโพรดิวซ์และเขียนร่วมกับ แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) ซึ่งเขากล่าวว่า การที่กีตาร์สไลด์และเสียงกลองเข้ามาในท่อนที่เทย์เลอร์ร้องว่า "that will find you the right thing" และโครงสร้างทั้งหมดของเพลงหลังจากนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเพลงนี้เป็นการปิดท้ายอัลบั้ม folklore และ evermore ที่สวยงามและปลดปล่อยอย่างแท้จริง
แกะเนื้อเพลง "it's time to go": การปลดปล่อยจากพันธนาการ
เพลงนี้เล่าเรื่องราวผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงเวลาที่ต้องก้าวออกไป รวมถึงเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับชีวิตของเทย์เลอร์เอง:
"When the dinner is cold and the chatter gets old / You ask for the tab": เปรียบเทียบสถานการณ์เบา ๆ เช่น การกินอาหารที่เย็นชืด หรือบทสนทนาที่น่าเบื่อถึงจุดที่ต้อง "ขอเช็คบิล" แล้วเดินจากไป
"Or that moment again, he’s insisting that friends / Look at each other like that": หรือช่วงเวลาที่คนรักยืนกรานว่าการมองเพื่อนด้วยสายตาแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ซัดเจนหรือไม่ซื่อสัตย์ถึงจุดที่ควรจะเดินจากไป
"When the words of a sister come back in whispers / That prove she was not in fact what she seemed / Not a twin from your dreams / She’s a crook who was caught": ท่อนนี้เชื่อว่าเทย์เลอร์สื่อถึง Karlie Kloss อดีตเพื่อนสนิทของเธอ ที่คำพูดของเธอที่เคยเป็นเหมือน "น้องสาว" หรือ "แฝดในฝัน" กลับกลายเป็น "โจรที่ถูกจับได้" หลังจากเหตุการณ์การขายลิขสิทธิ์เพลงของเทย์เลอร์ ซึ่งผู้จัดการของ Karlie คือ Scooter Braun และสามีของ Karlie ก็มีส่วนร่วมในการเงินของการซื้อขายนั้น ทำให้เทย์เลอร์รู้สึกถูกทรยศ
"That old familiar body ache / The snaps from the same little breaks in your soul / You know when it’s time to go": เธอเปรียบเทียบความรู้สึกภายในใจที่เริ่มแตกร้าวเป็น "ความปวดเมื่อยร่างกายที่คุ้นเคย" ซึ่งเป็นสัญญาณจากสัญชาตญาณที่บอกว่า "คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่ต้องไป"
"Twenty years at your job, then the son of the boss / Gets the spot that was yours": สถานการณ์การทำงานที่ถูกแย่งชิงตำแหน่งที่ควรจะเป็นของตนเองโดยผู้ที่ไม่มีความสามารถเพียงพอ
"Or trying to stay for the kids / When keeping it how it is will only break their hearts worse": การพยายามประคองชีวิตคู่ที่ไม่สมบูรณ์เพื่อลูก ๆ แต่กลับทำให้พวกเขาเจ็บปวดมากกว่าเดิม (อาจเชื่อมโยงถึงการหย่าร้างของพ่อแม่เทย์เลอร์เอง)
"Sometimes, givin’ up is the strong thing / Sometimes, to run is the brave thing / Sometimes, walkin’ out is the one thing / That will find you the right thing": ท่อนนี้คือหัวใจสำคัญของเพลง เธอย้ำว่า บางครั้งการยอมแพ้ก็คือสิ่งที่เข้มแข็ง และ บางครั้งการวิ่งหนีก็คือความกล้าหาญ การเดินจากไปจากสถานการณ์ที่ไม่ดีจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ
"Fifteen years, fifteen million tears / Begging ’til my knees bled / I gave it my all, he gave me nothin’ at all / Then wondered why I left": เทย์เลอร์กล่าวถึงประสบการณ์ 15 ปีของเธอกับ Big Machine Records (ค่ายเพลงเก่าของเธอ) และ Scott Borchetta ที่เธอ "ให้ไปทั้งหมด" แต่กลับ "ไม่ได้อะไรเลย" จนกระทั่ง "เขาประหลาดใจว่าทำไมฉันถึงจากไป" ซึ่งหมายถึงการที่เธอไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของผลงานเพลงของตัวเอง
"Now he sits on his throne in his palace of bones / Praying to his greed / He’s got my past frozen behind glass / But I’ve got me": เธอเปรียบ Scott Borchetta หรือ Scooter Braun ที่ได้อำนาจมาจากการทำร้ายคนอื่นว่า "นั่งอยู่บนบัลลังก์ในวังที่สร้างจากกระดูก" "อธิษฐานต่อความโลภของเขา" และ "มีอดีตของฉันถูกแช่แข็งอยู่หลังกระจก" (หมายถึงลิขสิทธิ์เพลงของเธอที่ถูกกักเก็บไว้) แต่เธอกลับมี "ฉันเอง" ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้
บทสรุปจาก "it's time to go": การเชื่อมั่นในสัญชาตญาณเพื่ออิสรภาพ
เพลง "it's time to go" เป็นบทสรุปที่ทรงพลังของอัลบั้ม evermore และยุค folklore ที่ผ่านมา เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้เปลี่ยนความเจ็บปวดและการทรยศหักหลังจากอดีตให้กลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่าและคู่มือชีวิตสำหรับผู้ฟังทุกคน
เธอเน้นย้ำว่าเมื่อใดที่ความสัมพันธ์หรือสถานการณ์ใด ๆ เริ่มเป็นพิษ สิ่งที่กล้าหาญที่สุดที่ควรทำคือการฟังเสียงสัญชาตญาณและก้าวเดินออกไป ไม่ใช่การยอมแพ้หรือความขี้ขลาด แต่เป็นทางเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดในการปกป้องตัวเองและค้นพบสิ่งที่ดีกว่าในชีวิต การเลือกที่จะ "วิ่งหนี" จึงกลายเป็น "ความกล้าหาญ" ที่จะนำพาไปสู่อิสรภาพและอนาคตที่สดใสกว่าเดิม