เมื่อผู้หญิงถูกตีตราว่า "บ้า" เพราะกล้าลุกขึ้นสู้
เพลง "mad woman" จากอัลบั้ม folklore คือบทเพลงที่ทรงพลัง สะท้อนถึงความโกรธแค้นของผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นคน "บ้า" อย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะพวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ หรือแสดงอารมณ์โกรธออกมาอย่างสมเหตุสมผล
เทย์เลอร์เคยกล่าวถึงแนวคิดนี้ไว้ในปี 2019 ว่า "ผู้ชายอนุญาตให้ตอบโต้, ส่วนผู้หญิงจะถูกมองว่านี่มันมากเกินไป" เพลงนี้จึงเป็นการตั้งคำถามถึงมาตรฐานสองแบบที่สังคมมีต่ออารมณ์ของผู้ชายและผู้หญิง
เนื้อเพลงอาจมีที่มาจากเรื่องราวของ Rebekah Harkness (รีเบคกา ฮาร์คเนสส์) หญิงม่ายผู้แปลกประหลาดที่ถูกชาวเมืองประณาม ซึ่งเทย์เลอร์เคยเล่าเรื่องราวของเธอในเพลง "the last great american dynasty" ด้วย
เมื่อแมงป่องถูกยั่วยุ ก็ต้องตอบโต้
เพลง "mad woman" เปิดฉากขึ้นกลางบทสนทนาที่เผ็ดร้อน สะท้อนอารมณ์โกรธที่อัดอั้นของเทย์เลอร์:
"What did you think I'd say to that? / Does a scorpion sting when fighting back? / They strike to kill, and you know I will": เธอถามกลับอย่างดุดันว่า "คุณคิดว่าฉันจะพูดอะไรกับเรื่องนั้น? แมงป่องจะไม่ต่อยกลับเมื่อถูกโจมตีอย่างนั้นหรือ? พวกมันจู่โจมเพื่อฆ่า และคุณก็รู้ว่าฉันก็จะทำเช่นกัน" เทย์เลอร์เปรียบตัวเองเป็นแมงป่องที่ถูกยั่วยุ ซึ่งธรรมชาติของมันคือการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเอง
"What do you sing on your drive home? / Do you see my face in the neighbor’s lawn? / Does she smile? Or does she mouth, ‘Fuck you forever’?": เธอถามว่าอีกฝ่ายร้องเพลงอะไรตอนขับรถกลับบ้าน (สื่อถึงเพลงของเธอที่เปิดอยู่ทั่วไป) และจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะเห็นหน้าเธอปรากฏอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งบนสนามหญ้าของเพื่อนบ้าน ใบหน้านั้นอาจจะยิ้ม หรือพูดคำว่า "ไปตายซะตลอดไป" ซึ่งแสดงถึงการหลอกหลอนผู้ที่ทำร้ายเธอ และนี่คือครั้งแรกที่เทย์เลอร์ใช้คำหยาบคายในเพลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน
"คนบ้า": ฉายาที่ถูกยัดเยียดเมื่อผู้หญิงแสดงความโกรธ
ท่อนพรี-คอรัสและคอรัสของเพลงนี้ พูดถึงแนวคิด "hysteria" หรือ "อาการฮิสทีเรีย" ในอดีต ที่ผู้หญิงถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้เพียงเพราะแสดงความกังวล หรือไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม ทำให้บางคนถูกกักขังอยู่ในสถาบันทางจิต:
"Every time you call me crazy, I get more crazy / And when you say I seem angry, I get more angry": เทย์เลอร์ชี้ให้เห็นว่าการที่อีกฝ่ายเรียกเธอว่า "บ้า" หรือ "โกรธ" ยิ่งทำให้เธอรู้สึกโกรธและบ้ามากขึ้นไปอีก เพราะการตีตรานี้เองที่ทำให้เกิดอาการเหล่านั้น ซึ่งก็คือการ "gaslighting" หรือการบิดเบือนความจริงเพื่อทำให้เธอสงสัยในสติของตัวเอง
"No one likes a mad woman / What a shame she went mad / You made her like that": "ไม่มีใครชอบผู้หญิงบ้า" และ "ช่างน่าเสียดายที่เธอเป็นบ้า" วลีเหล่านี้สะท้อนถึงการดูถูกและการปัดความรับผิดชอบของสังคม ซึ่งเทย์เลอร์ย้ำว่า "คุณนั่นแหละที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น" มันไม่ใช่ความบ้าที่ติดตัวมาตั้งแต่แรก แต่เป็นผลจากการกระทำของอีกฝ่าย
"And you’ll poke that bear ’til her claws come out / And you find something to wrap your noose around": อีกฝ่ายพยายาม "ยั่วยุหมีตัวนั้นจนกรงเล็บของเธอออกมา" (เปรียบเทย์เลอร์เป็นหมีที่เก็บซ่อนกรงเล็บไว้) และพยายาม "หาบางสิ่งมาผูกคอ" ซึ่งอ้างถึงการล่าแม่มดในอดีต ที่ผู้หญิงถูกแขวนคอหรือเผาทั้งเป็นเพียงเพราะถูกมองว่ามีพลังมากเกินไป
การแก้แค้นที่กำลังจะเกิดขึ้น และการเปิดเผยความจริง
"Now I breathe flames each time I talk / My cannons all firin’ at your yacht": เทย์เลอร์เปรียบตัวเองเป็นมังกรพ่นไฟ สื่อถึงความโกรธแค้นที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง และปืนใหญ่ของเธอก็พร้อมจะระดมยิงไปที่ "เรือยอร์ช" ของเขา แสดงถึงความตั้งใจที่จะทำลายความมั่งคั่งและอำนาจของอีกฝ่าย
"They say, ‘Move on,’ but you know I won’t": แม้จะมีคนบอกให้เธอ "ก้าวต่อไป" แต่เธอจะไม่ให้อภัยหรือลืมเลือนบาดแผลนี้ได้ง่าย ๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติของเธอที่จะปล่อยวาง (เหมือนแมงป่อง)
"And women like hunting witches too / Doing your dirtiest work for you / It’s obvious that wanting me dead has really brought you two together": เทย์เลอร์ยังแฉว่ามีผู้หญิงคนอื่นที่ร่วมมือกับอีกฝ่ายในการทำร้ายเธอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า "การต้องการให้ฉันตาย" ได้เชื่อมโยงคนสองคนนี้เข้าหากัน
"The master of spin has a couple side flings / Good wives always know": เทย์เลอร์เปิดเผยข้อมูลลับว่า "ผู้เชี่ยวชาญด้านการบิดเบือนความจริง" (อาจจะหมายถึง สกู๊ตเตอร์ บราวน์ ที่เธอมีปัญหากับเขาเรื่องลิขสิทธิ์เพลง) ก็มี "ความสัมพันธ์ลับ ๆ" เช่นกัน และ "ภรรยาที่ดีรู้ดีเสมอ" ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่าภรรยาของเขาก็รู้เรื่องนี้ และอาจจะโกรธแค้นไม่ต่างจากเธอ
"She would be mad, she should be scathing like me, but no one likes a mad woman / What a shame she went mad, you made her like that": เทย์เลอร์เชื่อว่าภรรยาของอีกฝ่ายก็ควรจะโกรธแค้นเหมือนเธอ แต่ก็จะถูกตีตราว่าเป็น "ผู้หญิงบ้า" เช่นกัน และย้ำอีกครั้งว่า "คุณนั่นแหละที่ทำให้เธอเป็นอย่างนั้น"
"mad woman": การปลดปล่อยความโกรธที่ถูกกักขัง
เพลง "mad woman" คือการประกาศอิสรภาพของเทย์เลอร์ในการแสดงความโกรธอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่ภาพลักษณ์และบทเพลงของเธอถูกควบคุมมานาน เธอไม่ได้เป็นเพียง "ผู้หญิงบ้าที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้หลังคา" อีกต่อไป แต่เป็นผู้ที่กล้าเปิดเผยความจริง
มันคือการชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานสองแบบที่สังคมมีต่อผู้หญิง
มันคือการยืนยันว่าผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะโกรธ และไม่จำเป็นต้องถูกตีตราว่าเป็น "บ้า"
มันคือการแสดงให้เห็นว่าเธอพร้อมที่จะตอบโต้และทำร้ายใครก็ตามที่มายั่วยุเธอ
เพลง "mad woman" เปิดตัวที่อันดับ 47 บน Billboard Hot 100 และเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอัลบั้ม folklore ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความกล้าหาญของเทย์เลอร์ในการใช้เสียงของเธอเพื่อพูดถึงความอยุติธรรมและการกดขี่