กลับบ้านเก่า เพื่อเจอรักเก่าในฤดูแห่งความทรงจำ
หนึ่งในเพลงที่โดดเด่นของอัลบั้ม evermore คือ "'tis the damn season" ครับ ด้วยธีมคริสต์มาสของเพลงนี้ที่เข้ากับช่วงเวลาที่อัลบั้มเปิดตัวในเดือนธันวาคมพอดี ๆ เพลงนี้เล่าเรื่องราวของการกลับบ้านเกิดในช่วงวันหยุดยาว และได้พบกับความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยจากไป
เทย์เลอร์ได้เปิดเผยความหมายที่แท้จริงของเพลงนี้ในโพสต์ Instagram ของเธอว่า:
"โดโรเธีย เด็กสาวที่ออกจากเมืองเล็ก ๆ ของเธอและไล่ตามความฝันฮอลลีวูด และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอกลับมาในช่วงวันหยุด และค้นพบเปลวไฟเก่าอีกครั้ง"
ในโพสต์เดียวกัน เทย์เลอร์ยังบอกอีกว่าเธอชอบการหลบหนีที่เธอได้พบใน "นิทานในจินตนาการ/ไม่ใช่ในจินตนาการ" (fictional/non-fictional narratives) แต่เธอก็ไม่ได้บอกชัดเจนว่าเพลงไหนเป็นเพลงที่แต่งขึ้น และเพลงไหนอ้างอิงจากชีวิตจริงของเธอ
เพลง "'tis the damn season" เป็นการเล่าเรื่องราวผ่านตัวละคร "โดโรเธีย" (Dorothea) เด็กสาวที่ย้ายไปใช้ชีวิตที่ลอสแอนเจลิสเพื่อตามหาความฝัน แต่กลับมาพักที่บ้านพ่อแม่ในช่วงวันหยุด และได้พบกับอดีตคนรักเก่าที่เคยสนิทกัน ท่อนที่บอกเล่าเรื่องราวของโดโรเธียในเพลงนี้เป็นการเล่าจากมุมมองของโดโรเธียเอง ส่วนเพลง "dorothea" อีกเพลงหนึ่งในอัลบั้ม evermore ก็จะเล่าเรื่องราวจากมุมมองของอีกตัวละครที่หวนรำลึกถึงความสัมพันธ์ของเขากับโดโรเธีย ก่อนที่เธอจะจากเมืองไปเป็นดาราในแอลเอ บางคนก็เชื่อว่าโดโรเธียเป็นตัวละครที่เทย์เลอร์สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของเธอในเวอร์ชันที่เติบโตขึ้นนั่นเอง
แกะเนื้อเพลง "'tis the damn season": เย็นยะเยือกแต่เร่าร้อน
เพลง "'tis the damn season" เป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความคิดถึง โหยหา และความรู้สึกหวนกลับไปหาอดีตที่เคยทิ้งไว้เบื้องหลัง:
"If I wanted to know who you were hanging with while I was gone / I would’ve asked you": โดโรเธียพูดกับอดีตคนรักว่าถ้าอยากรู้ว่าเขาไปคบกับใครตอนที่เธอไม่อยู่ เธอคงถามไปแล้ว แสดงว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากเท่ากับการได้เจอเขาตอนนี้
"It’s the kind of cold, fogs up windshield glass": เธอบรรยายถึงความหนาวเย็นในบ้านเกิดที่ทำให้กระจกรถเป็นฝ้า แต่ประโยคนี้มีความหมายซ่อนอยู่ว่ามันอาจจะไม่ได้หมายถึงแค่ความหนาวเย็นภายนอก แต่อาจเป็นความร้อนแรงของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในรถยนต์
"But I felt it when I passed you / There’s an ache in you, put there by the ache in me": เธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศเมื่อเดินผ่านเขา และรู้ว่าเขาก็เจ็บปวดจากการที่เธอจากไป เหมือนที่เธอเองก็เจ็บปวดเหมือนกัน ความรู้สึกโหยหามันอบอวลไปหมด
"But if it’s all the same to you, it’s the same to me": เธอประชดว่าถ้ามันไม่มีอะไรแตกต่างกันสำหรับเขา มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันสำหรับเธอเช่นกัน เหมือนการบอกว่า "งั้นเรามาสานต่อกันเถอะ"
"So we could call it even / You could call me ‘babe’ for the weekend, ’tis the damn season": เธอบอกว่าเราหายกัน (Call it even) คือเธอเคยทำให้เขาเสียใจด้วยการจากไป และตอนนี้เขาก็อาจจะมีใครแล้ว การกลับมาคืนดีกันแค่ช่วงวันหยุดก็ถือว่าเจ๊า ๆ กันไปเลย แล้วเขาก็เรียกเธอว่า "ที่รัก" ได้แค่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพราะ "'tis the damn season" หรือ "นี่มันฤดูบ้า ๆ บอ ๆ นี้" ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
"Write this down / I’m stayin’ at my parents’ house / And the road not taken looks real good now": เธอขอให้เขาจำเอาไว้ว่านี่ไม่ใช่การกลับมาคบกันจริงจัง เธอแค่กลับมาพักที่บ้านพ่อแม่ และ "สิ่งที่เคยปล่อยทิ้งไป" (the road not taken) ดูดีมากในตอนนี้ ซึ่งก็คืออดีตคนรักและบ้านเกิดของเธอ
"And it always leads to you and my hometown": เธอยอมรับว่าไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน เส้นทางนั้นก็มักจะพาเธอกลับมาหาเขาและบ้านเกิดของเธอเสมอ
"I parked my car right between the Methodist / And the school that used to be ours": เธอจอดรถในที่ลับ ๆ ระหว่างโบสถ์กับโรงเรียนเก่าที่พวกเขาเคยเรียนด้วยกัน เป็นสถานที่ที่แสดงถึงความผูกพันในอดีต
"The holidays linger like bad perfume / You can run, but only so far": วันหยุดยาวมันยาวนานจนรู้สึกเหมือน "น้ำหอมกลิ่นแย่ ๆ" ที่ติดทนไม่หายไปไหน เธอพยายามหนีจากความรู้สึกเหล่านี้ แต่ก็หนีได้ไม่ไกล
"Time flies, messy as the mud on your truck tires": เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและวุ่นวาย เหมือนโคลนที่ติดอยู่บนล้อรถกระบะของเขา ซึ่งอาจจะย้อนไปถึงเพลง "Tim McGraw" ที่พูดถึงความรักในวัยเรียนกับรถกระบะ
"Now I’m missing your smile / Hear me out, we could just ride around, and the road not taken looks real good now": ตอนนี้เธอเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของเขา และชวนให้เขาลองพิจารณาว่าเราน่าจะกลับไปใช้เวลาร่วมกันอีกครั้ง เหมือนขับรถเล่นไปตาม "สิ่งที่เคยปล่อยทิ้งไป" ซึ่งตอนนี้มันดูดีมาก ๆ
"I won’t ask you to wait if you don’t ask me to stay": เธอจะไม่ขอให้เขารอเธอ หากเขาไม่ขอให้เธออยู่ต่อ แสดงถึงความย้อนแย้งในใจที่อยากอยู่แต่ก็ต้องไป
"So I’ll go back to L.A., and the so-called friends / Who’ll write books about me if I ever make it": เธอบอกว่าเธอจะกลับไปลอสแอนเจลิส ไปหา "เพื่อนจอมปลอม" ที่พร้อมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเธอถ้าเธอโด่งดัง ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ผิวเผินในวงการบันเทิง
"Wonder about the only soul / Who can tell which smiles I’m fakin’": เธอจะนึกถึงคนคนเดียวที่สามารถบอกได้ว่ารอยยิ้มไหนที่เธอแกล้งยิ้ม
"And the heart I know I’m breakin’ is my own / To leave the warmest bed I’ve ever known": เธอรู้ว่าการจากไปครั้งนี้เป็นการทำลายหัวใจของตัวเอง เพราะเธอต้องจาก "เตียงที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา" ไป ซึ่งหมายถึงความสบายใจและความผูกพันที่เขามอบให้
"We could call it even / Even though I’m leaving / ’Tis the damn season": เธอพูดซ้ำว่าเราหายกัน แม้ว่าเธอจะกำลังจะจากไป และนี่แหละคือ "'tis the damn season" ฤดูแห่งการจากลาและหัวใจที่แตกสลาย
บทสรุปจาก "'tis the damn season": ทางแยกของชีวิตและหัวใจ
เพลง "'tis the damn season" เป็นบทเพลงที่เศร้าและเต็มไปด้วยความคิดถึง เกี่ยวกับการกลับบ้าน การเผชิญหน้ากับโชคชะตา และการตั้งคำถามว่าชีวิตของเราจะนำพาไปในทิศทางใด และจะเกิดอะไรขึ้นหากเราได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไป
โดโรเธียทำร้ายหัวใจตัวเองด้วยการเดินตาม "ทางที่เคยทิ้งไป" เธอแค่สงสัยว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเธอได้ลองใช้ชีวิตแบบนั้นสักช่วงสุดสัปดาห์
ท้ายที่สุดแล้ว โดโรเธียอาจจะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตในเมืองเล็ก ๆ กับคนรักเก่าอีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็จะยังคงสงสัยอยู่เสมอว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเธอเลือกที่จะอยู่ต่อ และหัวใจของเธอก็จะพาเธอกลับบ้านเสมอ แม้ว่าร่างกายของเธอจะอยู่ ณ ที่อื่นก็ตาม
เพลงนี้ยังเปิดตัวที่อันดับ 39 บน Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นเพลงที่ติดชาร์ตสูงสุดเป็นอันดับสี่ของอัลบั้ม evermore และเป็นการตอกย้ำความสามารถของเทย์เลอร์ในการเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและเข้าถึงใจผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง