เรื่องราวจากบ้านเกิด ถึงดวงดาวในฮอลลีวูด
เพลง "dorothea" คือบทเพลงลำดับที่ 8 ในอัลบั้ม evermore และยังเป็นเพลงแรกที่เทย์เลอร์ สวิฟต์เริ่มต้นเขียนขึ้นสำหรับอัลบั้ม evermore เลยครับ เพลงนี้ได้นำเสนอเรื่องราวของตัวละครที่มีชื่อว่า Dorothea ซึ่งเทย์เลอร์ได้อธิบายถึงเธอว่าเป็น "เด็กสาวที่จากเมืองเล็ก ๆ เพื่อไล่ตามความฝันในฮอลลีวูด" โดยเพลงนี้ถูกเล่าจากมุมมองของ "คนรักเก่าจากบ้านเกิด" ของ Dorothea ที่ยังคงคิดถึงและคอยมองดูเธออยู่ห่าง ๆ
เพลง "dorothea" มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับเพลง "'tis the damn season" ในอัลบั้มเดียวกัน ซึ่งเพลงหลังนี้จะเล่าเรื่องราวจากมุมมองของ Dorothea เอง ในช่วงที่เธอกลับมาบ้านเกิดในช่วงวันหยุดเทศกาล ส่วน "dorothea" จะเป็นการมองจากสายตาของคนรักเก่าที่เห็นเธอประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงแล้ว เทย์เลอร์ได้ยืนยันว่าเรื่องราวของ Dorothea ไม่ได้เป็นภาคต่อโดยตรงของ "สามเหลี่ยมรักวัยรุ่น" ในเพลง "cardigan," "august," และ "betty" แต่ในจินตนาการของเธอ Dorothea ก็ "เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันกับ Betty, James และ Inez" ทำให้โลกของตัวละครเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างมีเสน่ห์
แรงบันดาลใจในการสร้างตัวละคร Dorothea อาจมาจากเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนีย บ้านเกิดของเทย์เลอร์เอง นั่นคือคดีของ Dorothea West น้องสาวของ Marjorie West ที่หายตัวไปเมื่ออายุเพียง 5 ขวบ ซึ่งเป็นการนำเอาเค้าโครงจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวใหม่ในโลกของเพลงได้อย่างน่าสนใจ
เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นร่วมกับ แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) ผู้เป็นโพรดิวเซอร์ ซึ่ง Aaron ยังได้ชื่นชม JT Bates ที่มาเล่นกลองและเพอร์คัชชันในเพลงนี้ โดยยกย่องว่าเป็นนักดนตรีที่มีความรู้สึกในการเล่นที่ยอดเยี่ยม
แกะเนื้อเพลง "dorothea": ความคิดถึงจากอดีตที่ยังคงหวัง
เพลง "dorothea" เต็มไปด้วยความรู้สึกของความคิดถึง และความหวังที่ซ่อนอยู่ในการมองดูคนรักเก่าก้าวไปบนเส้นทางความฝัน:
"A tiny screen's the only place I see you now.": ประโยคสำคัญที่สะท้อนถึงยุคสมัยที่การเชื่อมต่อกับคนดังทำได้ผ่าน "หน้าจอเล็ก ๆ" ของโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ แสดงถึงระยะห่างระหว่างเขากับ Dorothea ที่ตอนนี้เป็นดาราแล้ว
การมองย้อนกลับไปถึง "ความทรงจำวัยเด็ก": ผู้เล่าเรื่องยังคงจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยรุ่นที่ใช้ร่วมกับ Dorothea ในเมืองเล็ก ๆ ได้อย่างดี
ความหวังที่ยังไม่เลือนหาย: แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี และความสัมพันธ์จะจบลงแล้ว แต่ผู้เล่าเรื่องก็ยังคงรัก Dorothea อยู่ เขายังคงทิ้งท้ายข้อความไว้ว่า "It's never too late to come back to my side." (ไม่สายเกินไปหรอกนะที่จะกลับมาหาฉัน) เป็นการบอกให้รู้ว่าประตูของเขาเปิดกว้างเสมอ หาก Dorothea เบื่อหน่ายกับแสงสีของฮอลลีวูด
เพลง "dorothea" กับ "'tis the damn season" ทำหน้าที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนมุมมองของสองตัวละครที่เคยมีความสัมพันธ์กัน โดยเพลงนี้คือมุมมองของคนที่ยังคงอยู่กับรากเหง้าของบ้านเกิด และเฝ้ามองอดีตคนรักที่ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง
ในขณะที่ Dorothea อาจจะยังคงโหยหาความสัมพันธ์ที่สูญเสียไปในเพลง "'tis the damn season" เพราะชีวิตของทั้งคู่ได้ดำเนินไปในเมืองที่แยกจากกัน ทำให้ความรักครั้งเก่านี้ยังคงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง เพลงทั้งสองจึงเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความรัก การจากลา และการเติบโตที่ทำให้คนสองคนต้องเดินกันคนละเส้นทาง
บทสรุปจาก "dorothea": ความรักที่ไม่เคยจางหายไปจากบ้านเกิด
"dorothea" คือบทเพลงที่งดงามในการเล่าเรื่องการจากลาเพื่อไปตามฝัน และความผูกพันที่ไม่เคยจางหายจากใจของคนที่ยังคงรออยู่เบื้องหลัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้สร้างสรรค์ตัวละครและเรื่องราวที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ สะท้อนถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อคนใกล้ตัวก้าวไปสู่ความสำเร็จในโลกที่แตกต่างออกไป
เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวความรักเก่า ๆ แต่ยังเป็นการสำรวจความรู้สึกของคนที่ต้องเห็นคนที่รักห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในความทรงจำและความหวังเล็ก ๆ ว่าวันหนึ่ง Dorothea อาจจะหวนคืนกลับมายังอ้อมกอดของบ้านเกิดและคนรักเก่าอีกครั้งครับ