ความสุขที่แฝงด้วยน้ำตา – บทเรียนจากความสัมพันธ์ที่จบลง
เป็นเพลงที่อาจมีชื่อฟังดูมีความสุข แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า และอารมณ์ของการอกหัก เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้บรรยายถึงช่วงเวลาหลังจากการแยกทาง ความรู้สึกที่ต้องประมวลผลอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผสมปนเปกันไป และการตระหนักว่าอดีตคนรักอาจไม่ใช่ทุกอย่างที่เธอเคยคิดไว้
เทย์เลอร์เองได้เปรยถึงเพลงนี้ในช่วงไลฟ์เปิดตัวมิวสิกวิดีโอเพลง "willow" ว่า: "happiness มีชื่อที่หลอกลวงมากค่ะ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันจะพูด" เป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่าเพลงนี้ไม่ได้สุขสมหวังอย่างที่ชื่อเพลงบอกไว้
เธอยังได้อธิบายเพิ่มเติมถึงแก่นของเพลงนี้ว่ามันคือ "การตระหนักว่าบางทีหนทางเดียวที่จะเยียวยาได้ คือการอวยพรให้คนที่พรากความสุขไปจากคุณ ให้มีความสุข" ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับความจริงและการก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดในที่สุด นอกจากนี้ เทย์เลอร์ยังเปิดเผยว่า "happiness" เป็นเพลงสุดท้ายที่เธอเขียนเสร็จสำหรับอัลบั้ม evermore โดยเขียนเสร็จเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนอัลบั้มจะถูกปล่อยออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระบวนการสร้างสรรค์ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนนาทีสุดท้าย
เพลงนี้เกิดจากการร่วมงานกับแอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner) โพรดิวเซอร์คู่บุญของเธออีกครั้ง โดย Aaron ได้เล่าว่าทำนองของเพลงนี้เป็นสิ่งที่เขาทำงานมาตั้งแต่ปีก่อนหน้า และเคยคิดว่าจะเป็นเพลงสำหรับโปรเจกต์ Big Red Machine ของเขาเอง แต่เทย์เลอร์ชื่นชอบท่วงทำนองนี้มากจนนำไปเขียนเนื้อร้อง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนการมิกซ์มาสเตอร์อัลบั้มจะเสร็จสิ้น
ความขัดแย้งในความสุข: การมองเห็นความจริงหลังม่านหมอก
เพลง "happiness" พาเราเข้าสู่ห้วงอารมณ์ที่ซับซ้อนหลังจากการแตกหักของความสัมพันธ์ เทย์เลอร์เริ่มต้นด้วยการพยายามหา "มุมมอง" ใหม่ในการมองเรื่องราวที่เกิดขึ้น:
"Honey, when I’m above the trees, I see this for what it is.": เธอเปรียบเปรยว่าเมื่อเธอ "อยู่เหนือต้นไม้" (คือมีมุมมองที่สูงขึ้น ชัดเจนขึ้น) เธอจึงจะมองเห็นความจริงของสถานการณ์ เหมือนกับที่เธอเคยกล่าวถึงในเพลง "Seven" และยังอาจมีการเชื่อมโยงกับวรรณกรรมคลาสสิกอย่าง "The Great Gatsby" ที่เทย์เลอร์มักนำมาเป็นแรงบันดาลใจด้วย
"But now I’m right down in it, all the years I’ve given is just shit we’re dividin’ up": แต่ในตอนนี้ เธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกตรงหน้า และมองว่าหลายปีที่มอบให้กันนั้นเป็นเพียง "สิ่งของที่เรากำลังแบ่งแยกกัน" คล้ายกับการหย่าร้าง หรือการเลิกรา
"I was dancing when the music stopped": เธอเปียบเปรยว่ากำลังมีความสุข สนุกสนาน "เต้นรำอยู่" แต่แล้ว "เสียงดนตรีก็หยุดลง" กะทันหัน ซึ่งอาจสื่อถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การที่ลิขสิทธิ์เพลงของเธอถูกขายไป หรือการที่โลกต้องหยุดนิ่งจากการระบาดของโรค
"In the disbelief, I can’t face reinvention / I haven’t met the new me yet": ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับการ "สร้างตัวเองใหม่" หรือ "พบกับตัวตนใหม่" ของเธอได้ เพราะยังติดอยู่ในวังวนของอดีต
"There’ll be happiness after you / But there was happiness because of you": ท่อนสรุปใจความสำคัญของเพลง เทย์เลอร์เชื่อว่า "จะมีความสุขหลังจากที่คุณจากไป" (ในอนาคต) แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า "มีความสุขเพราะคุณ" (ในอดีต) ทั้งสองสิ่งนี้สามารถเป็นจริงได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงธรรมชาติของความสัมพันธ์ที่สามารถมอบทั้งสุขและทุกข์
"Past the blood and bruise / Past the curses and cries / Beyond the terror in the nightfall / Haunted by the look in my eyes / That would’ve loved you for a lifetime": เธอต้องผ่านพ้นความเจ็บปวดจากการถูกทำร้าย (ทั้งทางร่างกายและจิตใจ) คำสาปแช่ง ความหวาดกลัวในยามค่ำคืน และความรู้สึกที่ถูกหลอกหลอนจากแววตาที่เคยรักเขาตลอดชีวิต
"Tell me, when did your winning smile / Begin to look like a smirk? / When did all our lessons start to look like weapons / Pointed at my deepest hurt?": เธอตั้งคำถามว่ารอยยิ้มที่เคยมีเสน่ห์ของเขาเปลี่ยนเป็น "รอยยิ้มเยาะ" ตั้งแต่เมื่อไหร่ และบทเรียนที่เคยเรียนรู้ร่วมกันกลับกลายเป็น "อาวุธ" ที่ทำร้ายจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเธอ
"I hope she’ll be a beautiful fool / Who takes my spot next to you": เธอยังมีความรู้สึกที่อยากให้คนรักใหม่ของเขาเป็นเพียง "คนที่สวยแต่โง่" ที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับเธอ ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงตัวละคร Daisy จากนวนิยาย "The Great Gatsby"
"No, I didn’t mean that / Sorry, I can’t see facts through all of my fury": แต่เธอก็ขอโทษในคำพูดนั้น เพราะยังคงถูกครอบงำด้วยความโกรธแค้น และยังมองไม่เห็นความจริงในตอนนี้
"There is a glorious sunrise / Dappled with the flickers of light / From the dress I wore at midnight": เธอมองเห็น "แสงอาทิตย์ขึ้นอันรุ่งโรจน์" หลังความมืดมิด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และความหวัง โดยมี "แสงริบหรี่จากชุดที่เธอใส่ตอนเที่ยงคืน" ปะปนอยู่ ซึ่งอาจสื่อถึงความทรงจำที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากอดีต และยังเชื่อมโยงกับชุดในเพลงต่าง ๆ ของเธอที่มักสื่อถึงวัยเยาว์และความบริสุทธิ์
"I can’t make it go away by making you a villain / I guess it’s the price I paid for seven years in Heaven": เธอไม่สามารถทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ด้วยการ "ทำให้เขาเป็นคนเลว" เธอต้องยอมรับว่านี่คือ "ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับเจ็ดปีในสรวงสวรรค์" ซึ่งอาจหมายถึงช่วงเวลาที่อยู่กับอดีตคนรัก
"But now my eyes leak acid rain on the pillow where you used to lay your head": น้ำตาของเธอเปรียบเสมือน "ฝนกรด" ที่กัดกร่อนทั้งตัวเธอและความทรงจำดี ๆ ที่เคยมี
"All you want from me now is the green light of forgiveness / You haven’t met the new me yet / And I think she’ll give you that": สิ่งที่เขาต้องการคือ "การให้อภัย" เพื่อที่จะก้าวต่อไปได้อย่างสบายใจ แต่เทย์เลอร์ในตอนนี้ยังทำไม่ได้ เธอเชื่อว่า "ตัวตนใหม่" ของเธอในอนาคตเท่านั้นที่จะให้อภัยเขาได้
บทสรุปจาก "happiness": การยอมรับและการเยียวยาในความขัดแย้ง
เพลง "happiness" เป็นบทเพลงที่เจ็บปวดแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง เทย์เลอร์ถ่ายทอดความรู้สึกของการดิ้นรนเพื่อก้าวผ่านความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่จบลง และการตระหนักว่าบางครั้งสิ่งที่ดีงามก็สามารถนำมาซึ่งความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงได้ในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าชื่อเพลงจะตรงกันข้ามกับอารมณ์ที่สื่อออกมา แต่ก็เป็นการสะท้อนความจริงของชีวิตที่ว่าความสุขและเศร้าสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ และการเยียวยาที่แท้จริงอาจไม่ใช่การลืมเลือน แต่คือการยอมรับความจริงทั้งดีและร้าย และการอวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุข เพื่อให้ตัวเองสามารถก้าวไปข้างหน้าและค้นพบ "ความสุข" ที่แท้จริงได้อีกครั้งในอนาคต