บันทึกสีแดงเข้มของความรักที่เติบโตและผ่านไป
"Maroon" คือเพลงลำดับที่ 2 จากอัลบั้ม Midnights ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่พาผู้ฟังดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำของความรักที่ผ่านพ้นไป แต่ยังคงทิ้งร่องรอยอันลึกซึ้งไว้ในเฉดสีแดงเข้ม เทย์เลอร์นั้นเชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องราวความรักผ่านบทเพลง และใช้ 'สัญลักษณ์สี' เพื่ออธิบายความรู้สึกต่าง ๆ เสมอ เช่น สีน้ำเงินแทนการสูญเสีย, สีเทาเข้มแทนความคิดถึง, สีแดงแทนความรักที่เร่าร้อน และสีทองแทนความรักที่สมบูรณ์แบบ
ในเพลง "Red" เทย์เลอร์เปรียบเทียบความรักว่าเป็นสีแดง ซึ่งเป็นสีแห่งความเร่าร้อน รุนแรง และเจ็บปวด แต่ "Maroon" คือเฉดสีแดงที่เข้มขึ้น ลึกซึ้งขึ้น และซับซ้อนกว่าเดิม ราวกับเป็นเวอร์ชันที่เติบโตขึ้นของความรักที่ถูกมองย้อนกลับไปในภายหลัง มันไม่ใช่แค่สีแดงที่ตรงไปตรงมา แต่มีความซับซ้อนและความซื่อสัตย์ที่สะท้อนจากกาลเวลาที่ผ่านไป
เทย์เลอร์ยังคงเล่นกับการใช้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเฉดสีแดงต่าง ๆ ตลอดทั้งเพลง ไม่ว่าจะเป็น Burgundy, Scarlet, Blood, Ruby (Rubies), Rust และ Wine ซึ่งแต่ละคำถูกนำมาใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างภาพที่ชัดเจนและเปรียบเปรยได้อย่างลึกซึ้ง เช่น:
"when you splashed the wine onto me" (เมื่อคุณสาดไวน์ใส่ฉัน) หมายถึงไวน์จริง ๆ
"And how the blood rushed into my cheeks" (และเลือดสูบฉีดขึ้นแก้มของฉัน) หมายถึงแก้มที่แดงก่ำด้วยความอับอายหรือเขินอาย
"Your roommate's cheap-ass screw top Rosé" (โรเซ่ฝาเกลียวราคาถูกของรูมเมทคุณ) ซึ่ง Rosé เองก็มีเฉดสีตั้งแต่ชมพูอ่อนไปจนถึงแดง
เพียงแค่เพลงเดียวนี้ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้เฉดสีของสีแดงมากมาย ซึ่งเทย์เลอร์นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง
มันเริ่มต้นด้วยการที่เทย์เลอร์ใส่แหวนยุค Red ในคลิป Midnights Mayhem With Me ทำให้ Swifties (แฟนคลับของเทย์เลอร์) บางส่วนคาดเดาว่าเพลงนี้อาจบอกเล่าเรื่องราวความรักของเทย์เลอร์ตั้งแต่ช่วงอัลบั้ม Red หรือเป็นเรื่องราวในจักรวาลเดียวกับ "All Too Well" ซึ่งสุดท้ายแล้ว เทย์เลอร์คงไม่ยืนยัน แต่ปล่อยให้เป็นอิสระในการตีความของผู้ฟัง
เพลง "Maroon" ขึ้นชาร์ตสูงสุดที่อันดับ 3 บน Billboard Hot 100 ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2022 และถูกโพรดิวซ์ร่วมกับแจ็ค แอนโทนอฟฟ์ (Jack Antonoff) ซึ่ง Jack และเพื่อนร่วมวงจาก Bleachers อย่าง Evan Smith ได้เล่นเครื่องดนตรีทั้งหมดในเพลงนี้
แกะเนื้อเพลง "Maroon": ร่องรอยสีแดงเข้มในความทรงจำ
"Maroon" คือบทเพลงที่มองย้อนกลับไปยังความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้ว ซึ่งในขณะนั้นอาจจะดูเป็นความรักที่เร่าร้อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปและมองย้อนกลับมา ความทรงจำเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีแดงเข้ม หรือ "Maroon" ที่ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น ความเติบโต และความมั่นคงที่เรียบง่าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนที่เพิ่งเข้าใจ:
"When the morning came / we were cleaning incense off your vinyl shelf / 'Cause we lost track of time again": เธอบรรยายถึงเช้าวันหนึ่งหลังค่ำคืนที่ดื่มด่ำกันจนลืมเวลา ต้องมาเช็ดคราบธูปบนชั้นแผ่นเสียง เป็นภาพที่สะท้อนความใกล้ชิดและความไร้กังวลในตอนนั้น
"Laughing with my feet in your lap / like you were my closest friend": ความสัมพันธ์ที่มากกว่าแค่คนรัก พวกเขายังเป็นเพื่อนสนิทที่หัวเราะด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
"'How'd we end up on the floor, anyway?' / 'Your roommate's cheap-ass screw-top rosé, that's how'": แสดงถึงความขี้เล่น การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไวน์ Rosé สีชมพูอ่อนในตอนแรกนั้นเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของความรักที่ยังสดใสและไร้เดียงสา
"And I chose you / The one I was dancing with in New York, no shoes": เธอเลือกคนรักคนนี้ ซึ่งเป็นคนที่เธอเต้นรำด้วยอย่างอิสระในนิวยอร์ก การเต้นโดย "ไม่ใส่รองเท้า" สื่อถึงความไร้เดียงสา ความหุนหันพลันแล่น หรือความรู้สึกที่ไม่คิดหน้าคิดหลังในตอนนั้น ซึ่งอาจทำให้เธอต้องเผชิญกับบาดแผลในภายหลัง
"Looked up at the sky and it was the burgundy on my t-shirt when you splashed your wine into me": การมองท้องฟ้าที่สะท้อนสีไวน์ Burgundy ที่หกใส่เสื้อ เป็นภาพเปรียบเทียบที่สีของความรักเริ่มเปลี่ยนจากแดงสดใสไปสู่สีแดงเข้มที่ซับซ้อนและอาจมีความเจ็บปวดแฝงอยู่
"And how the blood rushed into my cheeks / So scarlet, it was maroon / The mark they saw on my collarbone / The rust that grew between telephones / The lips I used to call home":
"blood rushed into my cheeks / So scarlet, it was maroon": แก้มที่แดงก่ำด้วยความเขิน เป็นสีแดงเข้มที่สื่อถึงความรู้สึกความรักในช่วงเวลานั้น หรือความรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยผ่านมา
"The mark they saw on my collarbone": รอยบนไหปลาร้า (อาจเป็นรอยจูบ) ที่ถูกผู้อื่นเห็น เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกซ่อนเร้น หรือความลับที่ถูกเปิดเผย
"The rust that grew between telephones": สนิมที่ขึ้นระหว่างโทรศัพท์ สื่อถึงการสื่อสารที่ค่อย ๆ จางหายไป หรือความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ จืดจางลง
"The lips I used to call home": ริมฝีปากที่เคยเป็นเหมือนบ้าน (ที่สื่อสารและเป็นที่พักพิง) แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงความทรงจำ ทั้งหมดนี้ถูกสรุปด้วยวลี "So scarlet, it was maroon" ซึ่งเป็นแก่นของเพลงที่ว่าสิ่งที่เคยดูสดใสและเร่าร้อนในตอนนั้น กลับกลายเป็นสีแดงเข้มที่มืดหม่นกว่าเมื่อมองย้อนกลับไป
"When the silence came / We were shaking, blind and hazy / How the hell did we lose sight of us again?": เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม เป็นช่วงเวลาแห่งความแตกสลายที่พวกเขา "สั่นสะท้าน ตาพร่ามัว" และ "หลงทาง" ในความสัมพันธ์อีกครั้ง
"Carnations you had thought were roses, that’s us": ดอกคาร์เนชั่นที่คุณคิดว่าเป็นกุหลาบ...นั่นคือเรา เปรียบเทียบว่าความรักที่เคยคิดว่าพิเศษและสวยงามเหมือนกุหลาบ แท้จริงแล้วเป็นเพียงดอกไม้ธรรมดา ๆ ที่ไม่ล้ำค่าเท่าที่คิด
"The rubies that I gave up": "ทับทิมที่ฉันยอมแพ้" ซึ่งอาจหมายถึงบางสิ่งที่ล้ำค่าที่เธอต้องเสียสละไปเพื่อความสัมพันธ์นี้ หรือบางสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของเธอที่ต้องละทิ้งไป
"And I wake with your memory over me / That’s a real fucking legacy / It was maroon": เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับ "ความทรงจำของคุณที่ยังคงอยู่กับฉัน" นั่นคือ "มรดกที่โคตรจริง" ที่ทิ้งไว้ ซึ่งเป็นสี "Maroon" เป็นการย้ำว่าความรักครั้งนี้ทิ้งร่องรอยที่หนักแน่นและซับซ้อน
บทสรุปจาก "Maroon": ความซับซ้อนของความรักที่ผ่านไป
เพลง "Maroon" เป็นบทเพลงแห่งการมองย้อนกลับไปในอดีตด้วยสายตาที่เติบโตขึ้น เทย์เลอร์พาเราไปสำรวจความซับซ้อนของความรักที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความสุขหรือความเจ็บปวดที่ชัดเจน แต่เป็นเฉดสีแดงเข้มที่ผสมผสานทั้งความหลงใหล ความผิดพลาด ความเสียใจ และบทเรียน
เมื่ออยู่ใน "Lavender Haze" (จากเพลงก่อนหน้า) เราอาจมองเห็นความรักเป็นสีสันที่สดใส แต่เมื่อพ้นจากห้วงนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นสี "Maroon" ซึ่งเป็นสีแห่งความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงแก่นแท้ของความสัมพันธ์ที่ผ่านมา แม้จะเจ็บปวด แต่ก็เป็นมรดกทางอารมณ์ที่สอนให้เธอรู้จักความรักในมุมที่แตกต่างออกไป และช่วยให้เธอมองเห็น "สัญญาณเตือน" ในความสัมพันธ์ครั้งต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น