ถ้าฉันกำลังลุกเป็นไฟด้วยความเจ็บปวด นายก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน
เพลง "my tears ricochet" เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่กินใจในอัลบั้ม folklore ที่เทย์เลอร์ถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกหักหลังได้อย่างลึกซึ้ง เธอเปิดเผยว่าเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เธอเขียนในอัลบั้มนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้มีความสำคัญกับเธอมากแค่ไหน
เทย์เลอร์ได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดที่ว่า "ผู้ทรมานขมขื่นคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่งานศพของวัตถุแห่งความหลงใหลที่ตกลงสู่บาป" (an embittered tormentor showing up at the funeral of his fallen object of affection) ซึ่งฟังดูเป็นปริศนา แต่สำหรับแฟน ๆ แล้ว หลายคนเชื่อว่าเพลงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ สก็อตต์ บอร์เช็ตต้า (Scott Borchetta) อดีตเจ้าของค่าย Big Machine Records ค่ายเก่าที่เธอมีปัญหากันเรื่องลิขสิทธิ์เพลงนั่นเอง
ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนจากคนรู้จักใจเป็นศัตรู
เทย์เลอร์บอกว่าเพลงนี้เหมือนเป็นเรื่องของ "กรรม" หรือ "ความโลภ" เธออธิบายว่า "มันเกี่ยวกับว่าใครบางคนที่เป็นเพื่อนรัก เป็นคู่คิด เป็นคนที่คุณไว้ใจที่สุดในชีวิต แล้วพวกเขากลับกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่รู้ว่าจะทำร้ายคุณได้อย่างไร เพราะพวกเขาเคยเป็นคนที่คุณไว้ใจที่สุด"
เนื้อเพลงเต็มไปด้วยภาพเปรียบเทียบที่ทรงพลังและบาดลึก โดยเฉพาะภาพของงานศพที่อดีตคนรัก (หรือในที่นี้คือคนที่หักหลังเธอ) มาร่วมงานศพของเธอ เธอเปรียบว่าถ้าเธอถูกเผาไหม้ คน ๆ นั้นก็จะกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านไปด้วย ซึ่งสื่อถึงการที่กรรมจะย้อนกลับไปหาผู้ที่ก่อกรรมนั้น และทุกสิ่งย่อมมีผลลัพธ์ตามมา
เกร็ดน่ารู้ และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง:
งานศพที่เป็นสัญลักษณ์: ภาพของงานศพในเพลงไม่ใช่แค่การตายจริง ๆ แต่มันคือการตายเชิงเปรียบเทียบของ "เทย์เลอร์คนเก่า" หรือชีวิตและผลงานเพลงของเธอภายใต้ค่าย Big Machine ที่ถูกขายไป การปรากฏตัวของคนที่เคยทำร้ายเธอในงานศพนี้ สะท้อนความเจ็บปวดที่ว่าแม้เธอจะจากไปแล้ว (จากค่ายเก่า) เขาก็ยังตามมาหลอกหลอน
"If I’m on fire, you’ll be made of ashes, too": ท่อนนี้คือแก่นของ "กรรม" เลย ถ้าฉันกำลังลุกเป็นไฟ (ด้วยความเจ็บปวดหรือความโกรธ) นายก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน เธอกำลังบอกว่าเธอจะลุกขึ้นมาจากเถ้าถ่านและเติบโตขึ้น แต่คน ๆ นั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในความว่างเปล่า
"If I’m dead to you, why are you at the wake?": ถ้าฉันไม่มีตัวตนสำหรับนายแล้ว ทำไมนายยังมางานศพฉันอยู่ล่ะ ประโยคนี้เสียดแทงไปถึงความเสแสร้งและไร้เหตุผลของผู้ที่หักหลังเธอ
"You wear the same jewels that I gave you as you bury me": "อัญมณี" ในที่นี้อาจหมายถึงผลงานเพลง 6 อัลบั้มแรกของเธอที่เขาได้ไปครอบครอง แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับทำลายเธอลงด้วยการขายลิขสิทธิ์เหล่านั้นไป
"Look at how my tears ricochet": น้ำตาของเธอที่ไหลออกมาไม่ได้แค่ร่วงหล่น แต่ "ย้อนกลับ" ไปทำร้ายเขาเหมือนกระสุนปืน นี่คือภาพสะท้อนของการแก้แค้นด้วยกรรมที่ชัดเจนที่สุด เป็นการบอกว่าสิ่งที่เขาทำกับเธอจะย้อนกลับไปทำร้ายเขาเอง
"I can go anywhere I want, just not home": เธอบอกว่าเธอไปไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ยกเว้น "บ้าน" "บ้าน" ในที่นี้อาจหมายถึงค่ายเพลงเก่า หรือความรู้สึกที่เคยมีต่อคน ๆ นั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจกลับไปได้อีก
"When you can’t sleep at night (you hear my stolen lullabies)": "เพลงกล่อมเด็กที่ถูกขโมยไป" คือเพลงเก่า ๆ ของเธอที่ถูกนำกลับมาทำใหม่ (re-records) ซึ่งแทนที่จะเป็นเพลงกล่อมให้หลับสบาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คน ๆ นั้นนอนไม่หลับ เพราะมันคือสิ่งที่เธอทวงคืนมาได้ และเป็นบทพิสูจน์ถึงความพ่ายแพ้ของเขา
บทเรียนจาก "my tears ricochet": ความเจ็บปวดที่นำไปสู่การทวงคืน
"my tears ricochet" ไม่ใช่แค่เพลงโกรธ แต่เป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวด และการลุกขึ้นสู้ เทย์เลอร์ถ่ายทอดเรื่องราวการถูกทรยศหักหลังในความสัมพันธ์ที่เคยไว้วางใจได้อย่างเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของเธอ
เพลงนี้คือบทเพลงที่บอกว่าทุกการกระทำย่อมมีผลตามมา และแม้จะต้องผ่านความเจ็บปวดมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็จะยังคงยืนหยัดและเติบโตขึ้นจากเถ้าถ่านของการทรยศเหล่านั้น และน้ำตาของเธอก็จะกลายเป็นพลังที่ย้อนกลับไปทำร้ายผู้ที่เคยมองข้ามและทำลายเธอ
เพลง "my tears ricochet" เปิดตัวที่อันดับ 16 บน Billboard Hot 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวความเจ็บปวดและการลุกขึ้นสู้ของเธอนั้น สะท้อนใจผู้ฟังทั่วโลกได้เป็นอย่างดี