เมื่อความรักครั้งใหม่คือวงกตแห่งความหวาดหวั่น และความอัศจรรย์
"Labyrinth" คือเพลงลำดับที่ 10 จากอัลบั้ม Midnights ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ บทเพลงซินธ์-พอปที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางอารมณ์นี้ถูกเขียนและร่วมโพรดิวซ์โดยเทย์เลอร์และแจ็ค แอนโทนอฟฟ์ (Jack Antonoff) ซึ่งเป็นนักดนตรีคู่ใจของเธอ เพลงนี้พาผู้ฟังดำดิ่งสู่ห้วงความรู้สึกอันหลากหลายที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจที่เคยบอบช้ำจากความรักครั้งเก่ากำลังถูกพัดพาไปสู่ความรักครั้งใหม่อย่างรวดเร็วราวกับถูกดึงเข้าสู่วงกต
แก่นของเพลงคือการเปรียบเทียบความรักที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับ "วงกต" (Labyrinth) ซึ่งเป็นเขาวงกตที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความสับสน เทย์เลอร์ถ่ายทอดความรู้สึกหวาดกลัว สับสน และประหลาดใจไปพร้อม ๆ กัน เธอรู้สึกเหมือนกำลังตกลงในหลุมโพรงแห่งความรักอย่างรวดเร็วอีกครั้ง หลังจากที่เคยเผชิญกับความเจ็บปวดจากการอกหักมาก่อน และความกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยก็ยังคงเกาะกุมจิตใจเธออยู่
ความโดดเด่นของ "Labyrinth" อยู่ที่การนำเสนอความขัดแย้งทางอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน ระหว่างความหวาดกลัวที่จะเจ็บซ้ำกับความสุขที่คาดไม่ถึง กับการได้พบความสบายใจที่ได้เจอคนใหม่ การใช้คำอุทานอย่าง "Uh oh, I'm falling in love" (โอ้โห ฉันกำลังตกหลุมรัก) และ "Oh no, I'm falling in love again" (โอ้ ไม่นะ ฉันกำลังตกหลุมรักอีกครั้ง) แสดงถึงการต่อสู้ภายในใจที่เต็มไปด้วยความตระหนก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นที่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้อีกครั้ง
แกะเนื้อเพลง "Labyrinth": การเต้นรำบนความไม่แน่นอน
เพลง "Labyrinth" ของ Taylor Swift เปรียบเสมือนการเดินทางเข้าไปในจิตใจที่สับสนวุ่นวาย พยายามทำความเข้าใจกับความรักที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว:
"It only hurts this much right now / Was what I was thinkin' the whole time / Breathe in, breathe through, breathe deep, breathe out / I'll be gettin' over you my whole life": เพลงเริ่มต้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจากอดีตที่ยังคงอยู่ เธอพยายามบอกตัวเองว่า "ตอนนี้มันก็เจ็บแค่นี้แหละ" และพยายาม "หายใจเข้า หายใจออก" เพื่อให้ผ่านความเจ็บปวดไปได้ แต่ในใจก็ยอมรับว่าเธออาจจะต้อง "ใช้เวลาทั้งชีวิต" เพื่อจะลืมคนรักเก่าคนนั้น
"You know how scared I am of elevators / Never trust it if it rises fast / It can't last": เธอเปรียบความกลัวการตกหลุมรักอย่างรวดเร็วกับความกลัวลิฟต์ที่ขึ้นเร็วปรี๊ด เธอไม่เชื่อว่าอะไรที่มาเร็วจะอยู่ได้นาน สะท้อนความไม่ไว้วางใจในโชคชะตา และอยากจะควบคุมความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง (ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด Mastermind ในอัลบั้มนี้)
"Uh-oh, I'm fallin' in love / Oh no, I'm fallin' in love again / Oh, I'm fallin' in love / I thought the plane was goin' down / How'd you turn it right around?": ท่อนนี้คือหัวใจของเพลง การอุทานที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากความตกใจเล็กน้อย "Uh-oh" กลายเป็นความไม่พอใจตัวเอง "Oh no" และสุดท้ายคือการยอมรับว่า "Oh" ฉันตกหลุมรักอีกแล้ว เธอเคยคิดว่า "เครื่องบินกำลังจะตก" (ความสัมพันธ์กำลังจะจบลง หรือชีวิตเธอกำลังพังทลาย) แต่คนรักคนใหม่นี้กลับ "พลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างไร?" สร้างความประหลาดใจให้กับเธอ
"It only feels this raw right now / Lost in the labyrinth of my mind / Break up, break free, break through, break down": ความเจ็บปวดในปัจจุบันยังคง "เป็นแผลสด" อยู่ เธอรู้สึก "หลงทางอยู่ในเขาวงกตแห่งจิตใจ" ของตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยรูปแบบความสัมพันธ์ที่วนเวียน: "เลิกรา ปลดปล่อย ผ่านอะไรไปด้วยกัน และพังทลาย" สะท้อนวงจรแห่งความเจ็บปวดที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"You would break your back to make me break a smile / You know how much I hate / That everybody just expects me to bounce back / Just like that": ท่อนนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคนรักคนใหม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อทำให้เธอ "ยิ้มได้" (break a smile) แต่เธอก็เกลียดที่ทุกคนคาดหวังให้เธอ "ฟื้นตัว" ได้อย่างรวดเร็ว ราวกับความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องใหญ่
Outro: การย้ำท่อนคอรัสหลายครั้ง ("Uh-oh, I'm fallin' in love...") สะท้อนถึงวงจรที่ไม่สิ้นสุดของความรักและความกลัว เธอตกหลุมรักอย่างรวดเร็ว เตรียมรับแรงกระแทก แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร และเธอก็ตกหลุมรักอีกครั้ง วงจรนี้อาจสื่อถึงความสัมพันธ์เดียวที่มีขึ้นมีลง หรือหลายความสัมพันธ์ที่เธอได้เจอ
บทสรุปจาก "Labyrinth": ความรักคือปริศนาที่สวยงาม
"Labyrinth" คือบทเพลงที่สวยงามและลึกซึ้งที่สำรวจความซับซ้อนของความรัก โดยเฉพาะเมื่อมันเข้ามาในชีวิตหลังจากความเจ็บปวด เทย์เลอร์ สวิฟต์ได้สร้างภาพเปรียบเทียบของ "วงกต" เพื่อสื่อถึงสภาวะจิตใจที่สับสน แต่ก็ยังคงมีความหวัง เธอไม่รู้ว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่จุดจบแบบไหน แต่เธอก็ยอมที่จะเดินเข้าไปในวงกตแห่งความรักนั้น
เพลงนี้สอนให้เราเห็นว่าความรักไม่ได้เป็นเรื่องที่สามารถวางแผนหรือ "Mastermind" ได้เสมอไป มันคือการเดินทางที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความกลัว และความอัศจรรย์ที่มาพร้อมกัน บางครั้งการ "ตกหลุมรัก" ก็รู้สึกเหมือนกำลัง "บิน" และบางครั้งการ "บิน" ก็รู้สึกเหมือนกำลัง "ตก" ซึ่งทั้งหมดนี้คือความงดงามของปริศนาที่เรียกว่าความรัก