เรื่องเล่าของหญิงประหลาดในคฤหาสน์ริมทะเล กับเรื่องของฉันที่เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
เพลง "the last great american dynasty" เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เทย์เลอร์เล่าเรื่องได้อย่างน่าทึ่ง มันเหมือนกับการที่เราได้นั่งฟังเรื่องเล่าเก่า ๆ จากคนในพื้นที่เกี่ยวกับคฤหาสน์ลึกลับริมทะเลในโรดไอแลนด์ ที่มีเจ้าของคนก่อนหน้าเป็นผู้หญิงสุดพิลึกพิลั่น นามว่า รีเบคก้า ฮาร์กเนส (Rebekah Harkness)
รีเบคก้า ฮาร์กเนส: หญิงผู้สร้างตำนานแห่ง "ฮอลิเดย์ เฮาส์"
เพลงนี้เทย์เลอร์บรรยายชีวิตของรีเบคก้า ฮาร์กเนส ผู้หญิงที่รวยล้นฟ้า เป็นทายาทมหาเศรษฐี และเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะ แต่ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ในสังคมชั้นสูง ถึงขนาดที่คนในเมืองตราหน้าว่าเป็น "ผู้หญิงที่บ้าที่สุดเท่าที่เมืองนี้เคยเห็นมา" (the maddest woman this town has ever seen)
คฤหาสน์หลังนี้ชื่อว่า "Holiday House" และก็เป็นคฤหาสน์ที่เทย์เลอร์ซื้อมาในปี 2013 พอเข้ามาอยู่ เธอก็ได้ยินเรื่องราวของรีเบคก้าจากนายหน้าอสังหาริมทรัพย์นี่แหละ เทย์เลอร์บอกว่าพอรู้เรื่องเธอก็อยากรู้ทุกอย่างเลย เพราะรีเบคก้าน่าสนใจมาก ๆ แล้วยิ่งนานไป เธอก็ยิ่งเห็นว่าชีวิตตัวเองกับรีเบคก้ามันช่างคล้ายกันเหลือเกิน ทั้งการเป็น "ผู้หญิงที่อยู่ในบ้านบนเนินเขาที่ใคร ๆ ก็ซุบซิบนินทา"
ภาพสะท้อนที่เหมือนกันอย่างน่าขนลุก: ระหว่างรีเบคก้ากับเทย์เลอร์
ตลอดทั้งเพลง เทย์เลอร์สร้างภาพเปรียบเทียบระหว่างตัวเธอกับรีเบคก้าได้อย่างเฉียบคม เหมือนจะบอกว่า "ดูสิ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของรีเบคก้านะ แต่มันก็เหมือนเรื่องของฉันเป๊ะเลย"
งานปาร์ตี้ระดับตำนาน: รีเบคก้าเคยจัดปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่คฤหาสน์นี้ ชวนเพื่อนพ้องศิลปินดัง ๆ อย่าง Salvador Dalí มาสังสรรค์ จนถึงขนาดที่เคย "เทแชมเปญเต็มสระแล้วลงไปว่ายน้ำกับคนดัง" (Filled the pool with champagne and swam with the big names) ซึ่งเทย์เลอร์ก็เปรียบเทียบกับปาร์ตี้ 4th of July สุดอลังการของเธอ ที่เต็มไปด้วยเพื่อนดาราคนดัง และก็เป็นที่รังเกียจของคนในเมืองไม่แพ้กัน
ผู้หญิงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์: ทั้งรีเบคก้าและเทย์เลอร์ต่างก็ตกเป็นเป้าของการถูกวิจารณ์อย่างดุเดือดจากสังคมรอบข้าง รีเบคก้าถูกมองว่าเป็น "ผู้หญิงที่บ้าที่สุด" หรือ "ผู้หญิงที่ไร้ยางอายที่สุด" (the most shameless woman this town has ever seen) ส่วนเทย์เลอร์เองก็ถูกสื่อและคนทั่วไปสร้างภาพให้เป็น "ผู้หญิงที่ออกเดตกับผู้ชายเยอะ ชอบแต่งเพลงถึงแฟนเก่าเพื่อแก้แค้น" เหมือนกับที่เคยเล่าในเพลง "Blank Space" นั่นแหละ
การ "ทำลายทุกสิ่ง" อย่างงดงาม: ท่อนที่เทย์เลอร์ภูมิใจมากคือ "She had a marvelous time ruining everything" หรือ "เธอมีช่วงเวลาที่วิเศษในการทำลายทุกสิ่ง" เธออธิบายว่าท่อนนี้พูดถึงการที่ผู้หญิงหลุดออกจากกรอบและใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการอย่างอิสระ แล้วสังคมก็มักจะตกใจ เทย์เลอร์ชอบไอเดียที่ผู้หญิงคนนั้นจะมีความสุขกับอิสระของตัวเองมากเสียจนไม่สนใจเลยว่ากำลังทำให้ใครคิ้วขมวดหรือเป็นที่ซุบซิบนินทาในเมือง
เพลงนี้ส่วนหนึ่งทำให้นึกถึงเพลง "The Lucky One" จากอัลบั้ม Red ที่เทย์เลอร์ร้องถึงดาราฮอลลีวูดนิรนามที่เลือกจะถอยห่างจากวงการ มาใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป เพื่อหลีกหนีสายตาและการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ ซึ่งก็มีธีมที่คล้ายคลึงกับการใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเองของรีเบคก้าและเทย์เลอร์
เกร็ดน่ารู้ & สัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในเพลง:
ปากกาขนนก (Quill pen): เทย์เลอร์ใช้ปากกาขนนกเป็นสัญลักษณ์ในการเขียนเพลงนี้ ซึ่งมักจะใช้กับการเขียนเรื่องราวที่ย้อนยุค หรือนิทาน ทำให้เพลงนี้มีความรู้สึกคลาสสิกและเป็นเรื่องเล่าจริง ๆ
"middle-class divorcée" ที่แต่งงานกับ "old money": แม้ในความเป็นจริงรีเบคก้าจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวย แต่เมื่อเทียบกับตระกูลของสามีคนใหม่ที่รวยเก่าแก่กว่ามาก เธอก็ถูกมองว่าเหมือน "คนมีเงินใหม่" ที่เข้ามาในสังคมชั้นสูงเก่าแก่ และถูกคนในเมืองไม่ชอบใจเอาได้ง่าย ๆ
"It must have been her fault his heart gave out": ประโยคนี้เสียดสีการที่สังคมมักจะโทษผู้หญิง เมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เช่น การตายของสามีรีเบคก้า ที่คนในเมืองเอาไปซุบซิบว่าน่าจะเป็นเพราะรีเบคก้าเป็นคนซน ๆ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไปหน่อย
ขโมยหมาและย้อมเป็นสีเขียวมะนาว (Key lime green): ในเพลง เทย์เลอร์เล่าว่ารีเบคก้า "ขโมยหมาของเพื่อนบ้านแล้วย้อมขนเป็นสีเขียวมะนาว" ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่รีเบคก้าทำ แต่จริง ๆ แล้วเธอขโมยแมวมานะ ไม่ใช่หมา เทย์เลอร์อาจจะเปลี่ยนเป็นหมาเพราะเธอเป็นทาสแมวตัวยง
"And then it was bought by me": ท่อนนี้คือการที่เทย์เลอร์หักมุมเล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนของรีเบคก้ามาตลอด ให้กลายเป็นเรื่องราวของตัวเองในท้ายที่สุด เป็นการเปิดเผยว่าเธอคือ "ผู้หญิงที่บ้า" คนต่อไปที่จะนำความสนุกสนานและเสียงดังกลับมายัง Holiday House อีกครั้ง
บทเรียนจาก "the last great american dynasty": เป็นตัวเองให้สุด แล้วความสุขจะเป็นของเรา
"the last great american dynasty" ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของรีเบคก้า ฮาร์กเนส แต่เป็นการเล่าเรื่องคู่ขนานที่สะท้อนถึงการเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมอยู่ใต้กรอบสังคม กล้าที่จะเป็นตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์แค่ไหนก็ตาม เพลงนี้สอนเราว่า "Haters gonna hate" (คนเกลียดก็ย่อมเกลียด) ไม่ว่าเราจะทำอะไร คนที่อคติก็ยังคงอคติอยู่ดี สิ่งสำคัญคือความสุขและความอิสระในการใช้ชีวิตของเราเอง
เพลงนี้แสดงให้เห็นว่าเทย์เลอร์สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเรื่องของตัวเอง หรือเรื่องของคนอื่น และยังผูกโยงโชคชะตาของเธอกับรีเบคก้าได้อย่างชาญฉลาด ท้าทายความคิดของผู้ที่เกลียดเธอ และบอกเป็นนัยว่าไม่ว่าใครจะพูดอะไร เธอจะยังคงเป็นตัวของตัวเองเสมอ และเธอจะถูกจดจำในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้หญิงที่กล้าหาญและเป็นอิสระ เฉกเช่นรีเบคก้า ฮาร์กเนส
เพลง "the last great american dynasty" เดบิวต์ที่อันดับ 13 บน Billboard Hot 100 ในสัปดาห์ที่ 8 สิงหาคม 2020 ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงพลังการเล่าเรื่องของเธอ